ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงแม่โถ อ. ฮอด จ. เชียงใหม่

<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="http://www.chiangmaizone.net/demo/rpf/demo/images/articles03.jpg"><img alt="" border="0" src="http://www.chiangmaizone.net/demo/rpf/demo/images/articles03.jpg" style="margin: 0pt 10px 10px 0pt; float: left; cursor: pointer; width: 343px; height: 270px;" /></a><br />โครงหลวงแห่งที่สองที่เราะพาเยี่ยมชมกันก็คือ <span class="content4"><u>ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงแม่โถ</u><u> อ. ฮอด จ. เชียงใหม่</u></span> ค่ะ<br />ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงแม่โถ ตั้งอยู่บ้านแม่โถ ตำบลสลี อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ พื้นที่เป็นภูเขาสลับซับซ้อนทอดยาวตามแนวเหนือ-ใต้ สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 800-1,200 เมตร ครอบคลุมอาณาบริเวณรับผิดชอบ 85.49 ตารางกิโลเมตร หรือ 53,433.59 ไร่ อุณหภูมิเฉลี่ย 19.5 องศาเซลเซียส<br /> กิจกรรมท่องเที่ยว<br /> - ชมแปลงกะหล่ำปลี มะเขือเทศ และผลไม้เมืองหนาว<br /> ประเพณีและวัฒนธรรม<br /> - ประเพณีปีใหม่ม้ง จัดในช่วงเดือนธันวาคม-มกราคม<br /> - ประเพณีเลี้งผีเดือนสาม จัดในช่วงเดือนมีนาคมของทุกปี<br /> - ประเพณีกินเจเดือนห้า จัดในช่วงเดือนกรกฎาคม-กันยายน<br /> - ประเพณีเลี้ยงผีป่าหรือผีต้นน้ำ ขึ้นอยู่กับหมอผีของชาวกะเหรี่ยงเป็นผู้กำหนด<br /> - ประเพณีเรียกขวัญ เป็นการมัดมือสู่ขวัญเด็กเกิดใหม่<br /> - ประเพณีแห่ไม้ค้ำโพธิ์ จัดในช่วงเดือนเมษายน หลังวันสงกรานต์<br /> เส้นทางศึกษาธรรมชาติ<br /> - น้ำตกแม่แอบ เป็นน้ำตก 2 ชั้น ขนาดกลาง ห่างจากศูนย์ฯ 7 กิโลเมตร<br /> - ป่าสนสองใบ ณ ดอยคำป้อ ห่างจากศูนย์ฯ 3-4 กิโลเมตร<br /> - วังน้ำวน เนินเขาลูกเล็กมีลานกว้างสำหรับตั้งแคมป์ ค่ายพักแรม หรือกิจกรรมกลางแจ้ง ล้อมรอบด้วยแม่น้ำ<br /> - น้ำตกแม่อมลอง น้ำตกชั้นเดียว สูงประมาณ 15 เมตร ห่างจากศูนย์ฯ 20 กิโลเมตร<br /> - จุดชมวิว ผาบ่อเหล็ก เป็นหน้าผาหินสูงประมาณ 50 เมตร ห่างจากศูนย์ฯ 3-4 กิโลเมตร<br /> ของฝาก<br /> - ผ้าปักผ้าทอ<br /> - การตีมีด<br /> ที่พัก - ร้านอาหาร<br /> - บ้านพักรับรองในศูนย์ฯ จำนวน 1 หลัง รับรองได้ 4 คน<br /> - เต็นท์บริการ ขนาด 4 คน ราคา 50บาท/หลัง/คืน หรือชุดเต็นท์ 1 หลัง พร้อมถุงนอน 4 ถุง ราคา 100 บาท<br /> - ไม่มีร้านอาหารบริการภายในศูนย์ฯ แต่มีบริการจัดทำอาหารให้ในราคาตามแต่ตกลง<br /> <a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="http://www.lannacorner.net/lanna/pic/549000008940306.jpg"><img alt="" border="0" src="http://www.lannacorner.net/lanna/pic/549000008940306.jpg" style="cursor: pointer; width: 399px; height: 245px;" /></a><br /> <b><u>การเดินทาง</u></b><br /> จากตัวเมืองเชียงใหม่ใช้ทางหลวงสาย 108 เชียงใหม่-แม่ฮ่องสอน 88 กิโลเมตร ถึงอำเภอฮอดให้เลี้ยวขวาไปตามถนนฮอด-แม่สะเรียง (เส้นทางหลวงสาย 108) อีก 55 กิโลเมตร จากนั้นเลี้ยวขวาที่แยกบ้านกองลอยมุ่งหน้าไปบ้านแม่โถ ตามทางหลวงสาย 1270 กองลอย-แม่โถ (ถนนลูกรัง) ระยะทาง 16 กิโลเมตร<br /><br /> หมายเหตุ - ใช้รถยนต์ได้ทุกประเภท ยกเว้นฤดูฝนควรใช้รถโฟร์วีลไดร์ฟ (ไม่มีบริการรถยนต์รับจ้าง)<br /><br /> มะเขือเทศ ,กะหล่ำปลี ,ผลไม้เมืองหนาว<br /><div style="text-align: center;"><br /></div><a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="http://www.sri.cmu.ac.th/%7Eethnic/pic/2549-06-13-004.jpg"><img alt="" border="0" src="http://www.sri.cmu.ac.th/%7Eethnic/pic/2549-06-13-004.jpg" style="cursor: pointer; width: 310px; height: 288px;" /></a><br /><br />ข้อมูลจาก www.ezytrip.com<br /><br /><br /><br />travel and food,Thailand

ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงแม่โถ อ. ฮอด จ. เชียงใหม่

โครงหลวงแห่งที่สองที่เราะพาเยี่ยมชมกันก็คือ ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงแม่โถ อ. ฮอด จ. เชียงใหม่ ค่ะ ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงแม่โถ ตั้งอยู่...

Read more »

ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงแม่แฮ

<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="http://jeep.thailandoffroad.com/board/picture%5C167255016082.JPG"><img alt="" border="0" src="http://jeep.thailandoffroad.com/board/picture%5C167255016082.JPG" style="margin: 0pt 10px 10px 0pt; float: left; cursor: pointer; width: 322px; height: 242px;" /></a><br />ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงแม่แฮ อ. แม่แจ่ม จ. เชียงใหม่<br />จะเอาข้อมุลมาลงหลายครั้งล่ะค่ะ แต่ไม่มีโอกาสซะที วันนี้ ฤกษ์งามยามดี ถือโอกาสเอามา post กับศูนย์พัฒนาโครงการหลวงทั้ง 36 แห่งเลยค่ะ เผื่อใครสนใจมาเยี่ยมชมค่ะ จะพยายามถยอย ๆ เอามาลงให้ชมกันนะคะ ที่แรกที่เราจะชมกันในวันนี้ก็คือ ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงแม่แฮ อ. แม่แจ่ม จ. เชียงใหม่ ค่ะ<br /><br />ข้อมูลทั่วไป<br /> ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงแม่แฮ มีพื้นที่รับผิดชอบทั้งหมด 33 ตารางกิโลเมตร ตั้งอยู่ในพื้นที่ 3 อำเภอ ได้แก่ อำเภอแม่วาง อำเภอแม่แจ่ม และอำเภอสะเมิง พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นเนินเขาและภูเขาสลับซับซ้อน มีที่ราบแคบตามแนวเหนือ-ใต้ของห้วยแม่แฮและห้วยแม่เตียน อุณหภูมิเฉลี่ย 20.1 องศาเซลเซียส<br /> กิจกรรมท่องเที่ยว<br /> - ชมแปลงสาธิตการปลูกผักภายในศูนย์ฯ มีผลผลิตตลอดปี<br /> - ชมแปลงผักชาวเขา มีผลผลิตตลอดปี<br /> - ชมไร่สตรอเบอรี่ขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศไทย ที่ศูนย์ฯ บ่อแก้ว ออกผลช่วงเดือนพฤศจิกายน-เมษายน<br /> ประเพณีและวัฒนธรรม<br /> - ชมวิถีชีวิตชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงและม้ง เที่ยงได้ตลอดปี<br /> เส้นทางศึกษาธรรมชาติ<br /> - ชมผืนป่าอุดมสมบูรณ์ที่หน่วยจัดการต้นน้ำแม่สะงะ ดูนกนานาพันธุ์ ศึกษาธรรมชาติ<br /> ของฝาก<br /> - ไวน์สตรอเบอรี่<br /> - ผักสดและผลไม้เมืองหนาว<br /> - ผลิตภัณฑ์สิ่งทอ<br /> ที่พัก - ร้านอาหาร<br /> - บ้านพักรับรองภายในศูนย์ฯ จำนวน 1 หลัง 5 ห้อง รับรองได้ 36 คน ราคา 400-600 บาท/ห้อง/คืน<br /> - เต็นท์บริการ ขนาด 2 คน พร้อมถุงนอน<br /> - ไม่มีร้านอาหารบริการภายในศูนย์ฯ แต่สามารถจัดหารับรองให้ได้ โดยแจ้งล่วงหน้าก่อนเดินทาง<br /><br /> การเดินทาง<br /> จากตัวเมืองเชียงใหม่ใช้เส้นทางหลวงสาย 108 เชียงใหม่-ฮอด ถึงอำเภอสันป่าตองเลี้ยวขวาบริเวณแยกบ้านกาดเข้าทางหลวงสาย 1013 ถนนสันป่าตอง-แม่วาง ผ่านศูนย์พัฒนาโครงการหลวงก่อนถึงศูนย์ฯ รวมระยะทางจากตัวเมืองเชียงใหม่ถึงศูนย์ ประมาณ 10 กิโลเมตร<br /><br /> หมายเหตุ - ใช้รถยนต์ได้ทุกประเภท หรือใช้บริการรถยนต์รับจ้าง สายเชียงใหม่-บ้านกาด<br /><br /> สตรอเบอรี่ ,ผักชนิดต่าง ๆ<br /><br /><a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="http://www.hotelsthailand.com/images/icon/40th-travel-30.jpg"><img alt="" border="0" src="http://www.hotelsthailand.com/images/icon/40th-travel-30.jpg" style="cursor: pointer; width: 461px; height: 269px;" /></a><br /><br /><br /><br />travel and food,Thailand

ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงแม่แฮ

ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงแม่แฮ อ. แม่แจ่ม จ. เชียงใหม่ จะเอาข้อมุลมาลงหลายครั้งล่ะค่ะ แต่ไม่มีโอกาสซะที วันนี้ ฤกษ์งามยามดี ถือโอกาสเอามา p...

Read more »

แม่กำปอง...สองอารมณ์ : เหินฟ้าเยี่ยงชะนี-ยลวิถีชาวบ้าน

สวัสดีค่ะ คุณ ๆ ทั้งหลาย ช่วงนี้เราไม่ค่อยได้เขียน blog เองเลยค่ะ เนื่องมาจากสาเหตุหลายประการ และช่วงนี้ก็กำลังจะทำโปรเจคขายเสื้อผ้า ของของใช้มือสองบนเว็ปอยู่ค่ะ ประกอบกับช่วงนี้เปิดตัวเว็ปส่วนตัวอีกหลายเว็ป วันนี้เอามานำเสนอกัน 1 เว็ปก่อน นั่นก็คือ แต๊น แตน แต้นนนน http://www.womanplus.krubpom.com ค่ะ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ ผู้หญิงค่ะ คุณผู้ชายอ่านได้ คุณผุ้หญิงอ่านดีค่ะ หากใครว่าง ๆ ก็สามารถ เข้าไปเยี่ยมชมได้นะคะ เลยไม่ค่อยมีเวลาเขียน blog เท่าไหร่ แต่ก็จะพยายามคัดสรรค์เรื่องดี ๆ มาลง blog ให้อ่านกันนะคะ รับรองว่า เนื้อหาคุณภาพแน่นอค่ะ ใครไม่คัดเราคัด คิคิ<br /><br /> อย่างเช่นวันนี้ค่ะ ได้เจอ บทความดี ๆ จาก ผู้จัดการออนไลน์ค่ะ เห็นข้อมูลน่าสนใจดี เลยเอามาลงให้คุณ ๆ อ่านกันนะคะ<br /><p><span style="font-family:Tahoma;font-size:85%;color:#000000;"><strong><span style="color:#990033;">ผู้จัดการออนไลน์ -</span></strong> ขณะที่แสงแดดเริ่มเรื่อเรือง “ผู้จัดการท่องเที่ยว” กับเพื่อนร่วมทริปก็รีบกุลีกุจอออกเดินทางจากตัวเมืองเชียงใหม่มุ่งหน้าสู่ <span style="color:#009999;"><strong>บ้านแม่กำปอง</strong> </span>หมู่บ้านท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ขึ้นชื่อแห่ง ต.ห้วยแก้ว กิ่งอ.แม่ออน จ.เชียงใหม่<br /> <br />เหตุที่เราต้องรีบเร่งออกกันตั้งแต่ฟ้าเริ่มสาง ก็เพราะเช้าตรู่วันนี้ (ประมาณ 7 โมง) เรามีนัดกับกิจกรรมผจญภัยมันๆ ตื่นเต้น เร้าใจ กันที่หมู่บ้านแห่งนี้นั่นเอง</span></p> <p align="center"><span style="font-family:Tahoma;font-size:85%;color:#000000;"><img alt="" border="0" height="416" src="http://pics.manager.co.th/Images/551000011912501.JPEG" width="300" /></span></p> <p><span style="font-family:Tahoma;"><span style="font-size:85%;"><span style="color:#000000;"><strong><span style="color:#3399cc;">อารมณ์แรก...แปลงเป็นชะนี(ชั่วคราว)<br /></span> <br /></strong>จากตัวเมืองเชียงใหม่ “ผู้จัดการท่องเที่ยว”นั่งกึ่งหลับกึ่งตื่นประมาณ 1 ชั่วโมง เราก็มาถึงยังหมู่บ้านแม่กำปอง ที่ยามเช้าอย่างนี้อากาศสดชื่นเย็นสบายมากๆ<br /> <br />อากาศเย็นสบายๆแบบนี้แหละ เหมาะแก่การเหินฟ้าบนยอดไม้ไปกับกิจกรรม<strong> <span style="color:#cc6600;">“Flight of the Gibbon” </span></strong>หรือที่หลายคนเรียกว่า <strong><span style="color:#cc6600;">“เที่ยวบินชะนี” </span></strong>เป็น อย่างยิ่ง เพราะจะได้ไม่ร้อนตอนผจญภัย ซึ่งงานนี้จะสร้างความระทึกใจให้กับเราได้แค่ไหน เดี๋ยวคงได้รู้กัน แต่ตอนนี้ขอสวมหมวก ชุดและอุปกรณ์ เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนออกผจญภัยกันก่อน<br /></span></span></span></p> <p><span style="font-family:Tahoma;font-size:85%;color:#000000;">เมื่อชุดพร้อม คนพร้อม คณะเราก็เดินทางไปยังจุดเริ่มต้น เพื่อฟังคำแนะนำของเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับการทำกิจกรรมนี้<br /> <br />สำหรับลักษณะของกิจกรรมเที่ยวบินชะนี มันก็คือการเคลื่อนตัวเหินฟ้าลอยละลิ่วจากต้นไม้ต้นหนึ่งไปยังต้นไม้ต้น หนึ่ง ด้วยอุปกรณ์ต่างๆ (เขาว่าคล้ายการห้อยโหนของชะนี) โดยมีการแบ่งเป็นฐานต่างๆ 18 ฐาน ซึ่งที่นี่เขาจะเน้นมากในเรื่องของการห้อยโหนสลิงด้วยรอก (เคเบิ้ลไลน์) เสริมด้วยการเดินข้ามสะพานแขวน 2 จุด และการโรยตัวอีก 3 จุด ไปหยุดตามฐานต่างๆที่ทำเป็นห้างแคร่เล็กๆบนต้นไม้ ท่ามกลางความดูแลของเจ้าหน้าที่อย่างใกล้ชิดเพื่อความปลอดภัยอย่างถึงที่สุด</span></p> <p align="left"><span style="font-family:Tahoma;font-size:85%;color:#000000;"> <img alt="" border="0" height="306" src="http://pics.manager.co.th/Images/551000011912503.JPEG" width="400" /><br /> <br />เมื่อทุกคนรับรู้ในวิธีการแล้ว อ้าย(พี่)<strong><span style="color:#9900cc;">อนันต์ ไทยกรณ์</span></strong> เจ้าหน้าที่ผู้ดูแลความปลอดภัยก็เหินฟ้าโหนสลิงนำร่องไปรอรับพวกเราที่ฐาน 2 บน ต้นไม้ใหญ่ต้นถัดไป ก่อนให้เจ้าหน้าที่อีกคนดูแลปล่อยพวกเราลอยละลิ่วข้ามยอดไม้ไปทีละคน ทีละคน</span></p> <p><span style="font-family:Tahoma;font-size:85%;color:#000000;">หลังพวกเราเริ่มชิน อ้ายอนันต์ก็ถือโอกาสให้ความรู้เรื่องผืนป่าและเรื่องต้นไม้ไปตามจุดพักคอย (ห้าง)บนฐานต่างๆ ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าผืนป่าชุมชนนอกเขตอุทยานฯแห่งนี้จะอุดมสมบูรณ์เขียวครึ้ม เต็มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่ขนาดหลายคนโอบมากมาย โดยต้นไม้ใหญ่หลายต้นได้ถูกดัดแปลงเป็นฐานพักของกิจกรรมเที่ยวบินชะนี<br /> <br />แน่นอนว่าเมื่อมีการจัดกิจกรรมกลางผืนป่าแบบนี้ สิ่งที่เราสงสัยก็คือเรื่องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศหรือ?<br /> <br />เรื่องนี้อ้ายอนันต์บอกว่า ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด เพราะเป็นการก่อสร้างโดยวิศกรผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศที่นำรูปแบบมาเส้น ทางวิจัยบนยอดไม้ในเวเนซูเอล่า ซึ่งเน้นเป็นพิเศษในเรื่องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ในการก่อสร้างชาวบ้านยังได้เข้าร่วมสำรวจคัดเลือกเส้นทางอย่างใกล้ ชิด</span></p> <p><span style="font-family:Tahoma;font-size:85%;color:#000000;"> “ชุมชนเราเน้นมากใน เรื่องการอนุรักษ์ธรรมชาติและวิถีชีวิต แต่เมื่อมีทุนข้างนอกเข้ามา ถ้าเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม วิถีชุมชน มีการบริหารจัดการที่ดี และปฏิบัติตามกฎของหมู่บ้านได้เราก็ยินดี เพราะเมื่อเกิดการท่องเที่ยวชุมชนขึ้น ชาวบ้านก็มีรายได้เพิ่มขึ้นทั้งจากการขายของที่ระลึก ร้านอาหาร โฮมสเตย์ และส่วนแบ่งจากกิจกรรมนี้”<br /> <br />อืม...ฟังแล้วก็มีเหตุผลเหมาะสม ยังไงๆงานนี้คงต้องติดตามกันต่อไป เพราะในเมื่อชาวบ้านมั่นใจว่าจะดูแลบริหารการท่องเที่ยวในชุมชนได้ก็ถือเป็น วิถีที่พวกเขาเลือกแล้ว ส่วนตัวเรานะตอนนี้ไม่มีทางเลือกใดๆนอกจากบินไป ห้อย โหนไปให้ถึงยังจุดหมายตามฐานที่เหลือ ซึ่งก็ยังคงสนุกตื่นเต้นเหมือนเดิม แถวช่วง 2-3 ฐานสุดท้ายนี่วิวสวยทั้งผืนป่าและต้นไม้ใหญ่ ก่อนที่พวกเราจะปิดท้ายกันด้วยการโรยตัวลงมาอย่างเนิบนาบ ทิ้งเที่ยวบินชะนีไว้กลางป่าใหญ่ให้นักท่องเที่ยวรุ่นหลังเข้ามาสัมผัสกับ ความตื่นเต้น หวาดเสียวกันต่อไป<br /></span></p> <p align="center"><span style="font-family:Tahoma;font-size:85%;color:#000000;"><img alt="" border="0" height="448" src="http://pics.manager.co.th/Images/551000011912504.JPEG" width="300" /></span></p> <p><span style="font-family:Tahoma;"><span style="font-size:85%;"><span style="color:#000000;"><strong><span style="color:#3399ff;">อารมณ์หลัง...เที่ยวน้ำตก-ยลวิถีพื้นบ้าน<br /></span></strong> <br />หลังใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ตื่นเต้นสุดขั้วกับเที่ยวบินชะนี “ผู้จัดการท่องเที่ยว” เราแวะกินมื้อเที่ยงกับอาหารพื้นบ้านในร้านอาหารชุมชน เพื่อตุนพลังไว้เที่ยวตามจุดอื่นๆในหมู่บ้าน<br /> <br />สำหรับหมู่บ้านแม่กำปอง เป็นบ้านเล็กกลางป่าใหญ่ ตั้งเรียงรายอยู่บนเนินเขาที่มีภูมิประเทศสวยงาม มีอากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี พื้นที่ส่วนใหญ่ของหมู่บ้านเป็นป่าเขาสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,300 เมตร<br /></span></span></span></p> <p><span style="font-family:Tahoma;font-size:85%;color:#000000;">อ้ายอนันต์เล่าว่าชื่อ หมู่บ้านนี้มาจากคำว่า“แม่” ที่แปลว่าแม่น้ำ กับ “กำปอง” ที่เป็นต้นไม้ชนิดหนึ่ง ชาวหมู่บ้านล้วนดำรงวิถีชีวิตวัฒนธรรมความเป็นอยู่ที่เรียบง่ายแต่ว่ามาก เสน่ห์อยู่ในที มีอาชีพหลักคือการทำสวนชา กาแฟ ทำเมี่ยง(ชา) มีธรรมชาติสมบูรณ์ ป่าไม้ น้ำตก โรงฟ้าพลังน้ำ มีภูมิปัญญาพื้นบ้านที่น่าสนใจ เป็นต้น<br /> <br />และด้วยเสน่ห์ต่างๆเหล่านี้ทำให้ชาวชุมชนแม่กำปองเปิดหมู่บ้านเป็นแหล่งท่อง เที่ยวเชิงอนุรักษ์และโฮมสเตย์ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2539 โดยการนำของ<span style="color:#996600;"> <strong>พ่อหลวงพรมมินทร์ พวงมาลา</strong></span> อดีตผู้ใหญ่บ้าน</span></p> <p><span style="font-family:Tahoma;font-size:85%;color:#000000;">ปัจจุบันชื่อชั้นทางการ ท่องเที่ยวชุมชนของหมู่บ้านแม่กำปองนั้นถือว่าโดดเด่นไม่น้อยเลย โดยหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อของบ้านแม่กำปองนั้นก็คือน้ำตกแม่กำปอง ที่เรากำลังจะไปเยือนเป็นจุดหมายต่อไป<br /> <br /><strong><span style="color:#cc6666;">น้ำตกแม่กำปอง</span></strong> อยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้าน มีอยู่ 7 ชั้นด้วยกัน เป็นน้ำตกที่มีน้ำใสไหลเย็นตลอดทั้งปี มีทางเดินเท้าไปตามเส้นทางเล็กๆ คู่ขนานไปกับธารน้ำตก ท่ามกลางบรรยากาศแมกไม้อันร่มรื่น ที่ระหว่างทางมีแอ่งน้ำ และพันธุ์ไม้น้อยใหญ่แปลกตาให้ชมกัน<br /></span></p> <p align="center"><span style="font-family:Tahoma;font-size:85%;color:#000000;"><img alt="" border="0" height="269" src="http://pics.manager.co.th/Images/551000011912507.JPEG" width="400" /></span></p> <p><span style="font-family:Tahoma;font-size:85%;color:#000000;">หลังใช้เวลาไป-กลับ และเพลิดเพลินกับน้ำตกแม่กำปองอยู่จนหนำใจ “ผู้จัดการท่องเที่ยว” ก็กลับมาเที่ยวต่อในหมู่บ้าน ซึ่งอ้ายอนันต์ก็พาเราเดินชมสีสันความเป็นอยู่ของชาวบ้าน และชมตามบ้านโฮมสเตย์ต่างๆที่แต่ละหลังน่าอยู่น่านอนทั้งนั้น จนทำให้เราอยากเปลี่ยนใจพักค้างที่นี่ แต่ว่าก็ติดที่มีนัดเที่ยวที่อื่นในเชียงใหม่จึงได้แต่ติดค้างไว้ว่า อนาคตจะกลับมานอนโฮมสเตย์ที่บ้านแม่กำปองอย่างแน่นอน ส่วนตอนนี้พวกเราเลือกล่ำลาบ้านแม่กำปองด้วยการไปไหว้พระที่วัดแม่กำปองหรือ วัดคันธาพฤกษา เพื่อความเป็นสิริมงคลในการเดินทางต่อไป<br /> <br /><strong><span style="color:#999900;">วัดแม่กำปอง</span></strong> เป็นวัดเก่าแก่ประจำหมู่บ้าน มีวิหารไม้ที่สร้างอย่างเรียบง่ายแต่สมส่วนและงดงามด้วยหน้าบันสลักไม้ รูปครุฑกับลวดลายเครือเถาดูแปลกตาน่ายล ส่วนบนหลังคานั้นมีมอสขึ้นปกคลุมหลังคาอย่างหนาแน่น ดูเขียวชอุ่มคล้ายมีพรมผืนใหญ่สีเขียวคลุมหลังคาไว้<br /></span></p> <p><span style="font-family:Tahoma;font-size:85%;color:#000000;">นอกจากนี้ที่วัดแม่กำปอง ภายในศาลาวัดยังมีชาวบ้านมารวมกลุ่มกันทำแปรรูปใบชา เป็นหมอนใบชา ที่มีกลิ่นหอม ช่วยให้สดชื่น และผ่อนคลายเวลานอน นับเป็นของฝากติดไม้ติดมือที่น่าสนใจ ซึ่งแน่นอนว่างานนี้เราต้องกระจายรายได้ก่อนจากลากันเสียหน่อย<br /> <br />หลังได้หมอนใบโปรดและหมอนใบเล็กที่ดับกลิ่นอับ คณะเราก็ล่ำลาจากบ้านแม่กำปองอย่างเป็นทางการ โดยระหว่างที่นั่งรถกลับนั้น ”ผู้จัดการท่องเที่ยว” รู้สึกว่าตัวเองนั้นบังเกิดความรู้สึก 2 อารมณ์ 2 ความต่างขึ้นในจิตใจ</span></p> <p><span style="font-family:Tahoma;font-size:85%;color:#000000;">หนึ่งนั้นเป็นอารมณ์ สนุก ประทับใจ ที่ได้จากการเที่ยวหมู่บ้านนี้<br /> <br />ส่วนอีกหนึ่งนั้นก็เป็นอารมณ์กังวล ห่วงใย<br /> <br />เพราะเท่าที่รู้มา หมู่บ้านนี้หลังจากสะสมชื่อเสียงทางการท่องเที่ยวมาหลายปี ปัจจุบันเริ่มเป็นที่สนใจของบรรดานักท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศจำนวนมาก ที่สำคัญก็คือบรรดานักลงทุนด้านการท่องเที่ยวหลายๆคนเริ่มชายตามามองบ้านแม่ กำปองแล้ว โดยบางคนหวังว่าจะทำให้ที่นี่เป็นดัง <strong><span style="color:#cc3366;">“ปาย”</span></strong> (จ.แม่ฮ่องสอน) แห่งที่สอง เพราะเท่าที่พูดคุยกับชาวบ้าน ที่นี่เริ่มมีทุนต่างถิ่นเข้ามาเจาะฐานชุมชนแล้ว<br /> <br /><strong><span style="color:#990033;">เรื่องนี้จึงทำให้เราอดกังวลไม่ได้ว่าวัน หนึ่งบ้านแม่กำปองอาจเสียศูนย์ เพราะทุนสามานย์เข้ามาโจมตี ซึ่งยังไงก็ขอภาวนาว่า “อย่าให้เป็นเช่นนั้นเลย เป็นหมู่บ้านแม่กำปองที่เรียบง่ายแต่ทรงเสน่ห์แบบนี้น่ะดีแล้ว”</span></strong></span></p><p><br /><span style="font-family:Tahoma;font-size:85%;color:#000000;"><strong></strong></span></p><p><span style="font-family:Tahoma;font-size:85%;color:#000000;"><strong><span style="color:#990033;">ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์</span></strong></span></p><p><br /><span style="font-family:Tahoma;font-size:85%;color:#000000;"><strong></strong></span></p><p><span style="font-family:Tahoma;font-size:85%;color:#000000;"><strong><span style="color:#990033;"><br /></span></strong></span></p><br /><br />travel and food,Thailand

แม่กำปอง...สองอารมณ์ : เหินฟ้าเยี่ยงชะนี-ยลวิถีชาวบ้าน

สวัสดีค่ะ คุณ ๆ ทั้งหลาย ช่วงนี้เราไม่ค่อยได้เขียน blog เองเลยค่ะ เนื่องมาจากสาเหตุหลายประการ และช่วงนี้ก็กำลังจะทำโปรเจคขายเสื้อผ้า ของของใ...

Read more »

"ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้" ฉลองตรุษจีนด้วยเมนูมงคล

<div style="text-align: center;"><img border="0" src="http://www.chiangmainews.co.th/images/img/4447-2.jpg" /><br /><br /><span style="color:red;"><b>"ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้"<br />ฉลองตรุษจีนด้วยเมนูมงคล<br />ที่ห้องอาหารจีนภูพิงค์ </b></span><br /></div> <br /><br /> ในวันฉลองตรุษจีนอาหารจะถูกรับประทานมากกว่าวันไหนๆในปี อาหารชนิดต่างๆที่ปฏิบัติกันจนเป็นประเพณี จะถูกจัดเตรียมเพื่อญาติพี่น้องและเพื่อนฝูง รวมไปถึงคนรู้จักที่ได้เสียไปแล้ว ในวันตรุษครอบครัวชาวจีนจะทานผักที่เรียกว่า ไช่ ถึงแม้ผักชนิดต่างๆที่นำมาปรุง จะเป็นเพียงรากหรือผักที่มีลักษณะเป็นเส้นใยหลายคนก็เชื่อว่าผักต่างๆมีความ หมายที่เป็น มงคลในตัวของมันเม็ดบัว - มีความหมายถึง การมีลูกหลานที่เป็นชายเกาลัด - มีความหมายถึง เงิน สาหร่ายดำ - คำของมันออกเสียงคล้าย ความร่ำรวย เต้าหู้หมักที่ทำจากถั่วแห้ง - คำของมันออกเสียงคล้าย เต็มไปด้วยความร่ำรวย และ ความสุข หน่อไม้ - คำของมันออกเสียงคล้าย คำอวยพรให้ทุกอย่างเต็มไปด้วยความสุข<br /> <br /> อาหารอื่นๆ รวมไปถึงปลาทั้งตัว เพื่อเป็นตัวแทนแห่งการอยู่ร่วมกัน และความอุดม- สมบรูณ์ และไก่สำหรับความเจริญก้าวหน้า ซึ่งไก่นั้นจะต้องยังมีหัว หางและเท้าอยู่ เพื่อ เป็นการแสดงให้เห็นถึงความสมบูรณ์ เส้นหมี่ก็ไม่ควรตัดเนื่องจากหมายถึงชีวิตที่ยืนยาวทางตอนใต้ของจีน จานที่นิยมที่สุดและทานมากที่สุดได้แก่ ข้าวเหนียวหวานนึ่ง บ๊ะจ่างหวาน ซึ่งถือเป็นอาหารอันโอชะ ทางเหนือ หมั่นโถ และติ่มซำ เป็นอาหารที่นิยม อาหารจำนวน มากที่ถูกตระเตรียมในเทศกาลนี้มีความหมายถึง ความอุดมสมบูรณ์และความร่ำรวยของบ้าน<br /><br /> แม่รำเพย ป้าอบเชยร่ายความรู้ในเรื่องของที่มาที่ไปของเทศกาลตรุษจีนเสียยาว กลัมมาร่ายถึงสถานที่จะพาไปทานกันในเสาร์นีกันดีกว่า ...ต้องขอบอกว่าวันนี้จะพาไปทานอาหารจีนเพื่อต้อนรับเทศกาลตรุษจีนด้วยเมนู อาหารมงคลที่ โรงแรมเชียงใหม่ออคิด ซึ่งเป็นโรงแรมที่พร้อมให้บริการห้องพักอันแสนสะดวก สบาย และการบริการชั้นเลิศแล้ว ยังมี "ความอร่อย" หลากหลาย จากห้องอาหารต่างๆนานาใว้ให้บริการด้วยจ้า โดยเฉพาะที่ห้อง"อาหารจีนภูพิงค์ "ความอร่อย ที่มาพร้อมกับโปรโมชั่นให้เพียบ เมนูมงคลในราคา 399 บาท/ท่าน เริ่มให้บริการตั้งแต่วันที่ 24-27 มกราคมนี้ เเมนูมงคลต้องบอกว่าเชฟฝีมือดีคัดสรรเมนูเด็ดๆมาให้เลือกทานมาก มาย อาทิ ของนึ่ง ขนมจีน ซาลาเปา ฮะเก๋า ก๋วยเตี๋ยวหลอด ของทอด กุยฉ่ายทอด เผือกทอด ปอเปี๊ยะทอด ไข่มังกรทอด เกี๊ยวกุ้งทอด ซุป เจียวใช่จิ้ป้อ(ซุปหูฉลายน้ำแดง) เมนูพิเศษ ห่วยหยู่ลุ้งจ้วง ผัดหมีซั่ว ของหวาน ซิขุ่ยเฮงล้ง สามแซ่ ประกอบด้วยแป๊ะก้วย เม็ดบัว พุทรา เป็นต้น<br /><br /> เมนูที่แม่รำเพย ป้าอบเชยได้ลองลิ้มชิมรสมาแล้วคือบุฟเฟ่ต์ติ่มซำ ซึ่งทาง คุณกฤษฏาพันธ์ วงศ์ดาว หรือ พี่ตู่ F&B Manager บอกว่าติ่มซำของห้องอาหารจีน ภูพิงค์เป็นติ่มซำที่อร่อยที่สุด ในช่วงเทศกาลตรุงจีนทางเซฟได้ขนของนึ่งมาให้บริการแก่ลูกค้าต่อวันกว่า 60 รายการไม่ว่าจะเป็นขนมจีบ หมู่+กุ้ง,ขนมจีบปู ฮะเก๋า ไข่เค็ม ลูกชิ้นกุ้ง ก๋วยเตี๋ยวหลอดใส้กุ้ง ตีนเป็ด ซาลาเปาครีม(อร่อยอร่อย) ซาลาเปาหมูสับ ก้ามปูนึ่ง หอยแลงภู่พริกไทยดำ เห็ดหอม เห็ดเข็มทองยัดไส้กุ้ง ฯลฯประเภทของทอด ก่ยฉายทอด ปอเปี๊ยะทอด เต้าหู้ปลาทอด มีข้อเสนอแนะถ้าจะทานติ่มซำให้อร่อยต้องทานตอนร้อนๆ และทำใหม่ทุกวันถึงจะอร่อยได้ใจจ้า<br /><br /> มาถึงเมนูมงคงที่ของแนะนำในวันนี้เริ่มจาก หูฉลามน้ำแดงเมนูนี้ต้องบอกว่าเป็นเมนูมงคลเป็นอาหารชั้นดี คนจีนสมัยก่อนเชื่อว่า หูฉลามเป็นอาหารที่เสริฟให้กับฮ่องเต้ เป็นอาหารที่มีโปรตีนสูง ที่สำคัญอร่อยซึ่งเทคนิคในการทำให้อร่อยนั้นเป็นสูตรเฉพาะของทางโรงแรม เวลาทานจะมีความรู้สึกว่านุ่มลิ้น รสชาติกลมกล่อม เป็นเมนูที่ต้องบอกว่าใครได้ทานแล้วจะต้องติด<br /><br /> เมนูมงคลที่นิยมทานในเทศกาลตรุจีนต้องขอแนะนำนั่นก็คือ ห่วยหยู่ลุ้งจ้วง (ผัดหมี่ซั่ว )ใครได้ทานแล้วต้องบอกว่าค้าขายคล่องเงินทอดดี ที่สำคัญแม่รำเพย ป้าอบเชยว่ามันอร่อยดีทางเซฟเขานำหมี่ไปผัดกับเห็ดหอม และก็ผักแม้ว่ารสชาติจะจีดไปนิด แต่ก็ได้รสดี น่าทาน<br /><br /> ไก่แช่เหล้า ต้องขอบอกว่าทางเซฟเขาตั้งใจทำเป็นพิเศษเพราะว่ารสชาติของไก่แช่เหล้าจะมี ความนุ่มอร่อย ไม่เลี่ยน และกลิ่นเหล้าไม่แรงจนเกินไป หวานพอทานไปพร้อมกับน้ำจิ้มจะได้รสชาติดีขึ้น<br /><br /> ปิดท้ายด้วยของหวานมงคลที่มีชื่อว่า ซีขุ่ยเฮงล้ง สามแซ่ ประกอบด้วย แป๊ะก้วย เม็ดบัว พุทรา ซึ่งเมื่อได้ได้ทานแล้วมีความหมายว่า มีความรุ่งเรืองตลอดปีจ้า<br /><br /> ขอย้ำทางห้องอาหารจีน ภูพิงค์ ยังมีเมนูมงคลที่ต้องบอกว่ามีให้เลือกทานหลากหลายมากที่แม่รำเพย ป้าอบเชยแนะนำไปต้องขอบอกว่าเป็นเพียงแค่น้ำจิ้ม ยังมีเมนูมงคลอีกหลากหลาย ที่พร้อมจะให้บริการแก่ลูกค้าทุกท่านได้มีโอกาสแวะไปลิ้มลองในช่วงเทศกาล ตรุษจีนและโอกาสอันพิเศษที่สำคัญเพื่อความสะดวกจะโทรสำรองจองโต๊ะก่อนก็ได้ ที่ 053-222099 ต่อห้องอาหารจีนเปิดให้บริการในช่วงเวลา 11.00-14.00 น.และ 18.00-22.00 น.<br /><br />ที่มา : เชียงใหม่นิวส์<br /><br />travel and food,Thailand

"ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้" ฉลองตรุษจีนด้วยเมนูมงคล

"ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้" ฉลองตรุษจีนด้วยเมนูมงคล ที่ห้องอาหารจีนภูพิงค์ ในวันฉลองตรุษจีนอาหารจะถูกรับประทานมา...

Read more »

แอ่ว "บ้านหนองหอยเก่า"ขึ้นเขาไปชมดอยม่อนล่อง

<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="http://www.chiangmainews.co.th/images/img/4502-2.jpg"><img alt="" border="0" src="http://www.chiangmainews.co.th/images/img/4502-2.jpg" style="margin: 0pt 10px 10px 0pt; float: left; cursor: pointer; width: 350px; height: 263px;" /></a><br /><span style="color:red;"><b>แอ่ว "บ้านหนองหอยเก่า"ขึ้นเขาไปชมดอยม่อนล่อง</b></span><br /><br /><br /> บริเวณบ้านหนองหอย อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ เป็นหมู่บ้านชาวเขาเผ่าม้งบนดอยสูง ที่แห่งนี้ยังมีประวัติความเป็นมาที่เกี่ยวข้องกับตำนานขุนหลวงวิรังคะ อดีตกษัตริย์ของชาวลัวะ นอกจากนั้นแล้วบ้านหนองหอยยังเป็นหมู่บ้านในพื้นที่ของโครงการหลวง ชาวบ้านจึงมีรายได้จากการเพาะปลูกพืชผักเมืองหนาว<br /> <br /> ขณะที่แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติของหมู่บ้านหนองหอยก็ได้รับความสนใจจากนัก ท่องเที่ยวนิยมเดินทางไปเที่ยวเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะจุดชมวิวม่อนดอยและดอยม่อนล่อง ซึ่งสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของอำเภอแม่ริมและเชียงใหม่ได้อีกด้วย<br /> <br /> ดอยม่อนล่อง หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า "ม่อนคว่ำล่อง" สามารถมองเห็นทัศนียภาพของเมืองเชียงใหม่บริเวณถนนเส้นแม่ริม - สะเมิง ได้แก่ ตัวอำเภอแม่ริม ตัวอำเภอสะเมิง สวนพฤกษศาสตร์ เอราวัณรีสอร์ท หมู่บ้านแม่สาใหม่ หมู่บ้านโป่งแยง หมู่บ้านสามหลัง รวมถึงทิวทัศน์บริเวณสันเขาดอยสุเทพและดอยปุย นักท่องเที่ยวสามารถขับรถขึ้นไปชมวิวได้สองจุดคือ จุดสูงสุดของดอยม่องล่องและจุดฝังศพของพ่อขุนหลวงวิรังคะซึ่งเป็นที่ตั้งของ ศาล<br /> <br /> ตำนานในอดีตเกี่ยวกับขุนหลวงวิรังคะซึ่งเล่าขานสืบต่อกันมาจากชาวบ้าน กล่าวว่า ในอดีตมีกษัตริย์ของชาวลัวะนามว่า "ขุนหลวงวิรังคะ" เป็นเจ้าเมืองระมิงค์นคร ทรงเป็นกษัตริย์ที่มีพละกำลังแข็งแกร่งและมีคาถาอาคมแก่กล้า เมื่อทรงสูญเสียมเหสีอันเป็นที่รักไปก็นำความโศกเศร้ามาสู่ขุนหลวงวิรังคะ เป็นอย่างมาก ข้าราชบริพารทั้งหลายเห็นดังนั้นจึงกราบทูลเรื่องเจ้าแม่จามเทวี ซึ่งเป็นกษัตริย์ปกครองนครหริภุญชัย หรือ เมืองลำพูน ซึ่งมีความสามารถและมีรูปโฉมที่งดงามเหมาะสมที่จะเป็นมเหสีองค์ใหม่<br /> <br /> ขุนหลวงวิรังคะจึงได้ประสงค์ให้จัดขบวนอัญเชิญเจ้าแม่จามเทวีมาเป็นมเหสี ทางด้านเจ้าแม่จามเทวีเมื่อทราบข่าวก็ไม่ปรารถนาที่จะมาเป็นชายาเนื่องจาก กลัวจะเป็นที่ครหาแก่ชาวเมือง จึงได้ออกอุบายให้ขุนหลวงวิรังคะสำแดงอานุภาพโดยการพุ่งเสน้า (แหลน) มายังเมืองลำพูน ถ้าสามารถพุ่งมาถึงได้จะยอมเป็นมเหสีของขุนหลวงวิรังคะ ขุนหลวงวิรังคะจึงตกลงแต่ขอทำการทดสอบฝีมือก่อน โดยทำการพุ่งเสน้าจากดอยสุเทพ มาตกยังบริเวณหนองน้ำทางทิศเหนือของเมืองหริภุญชัย ต่อมาชาวบ้านเรียกว่า "หนองเสน้า" เมื่อเจ้าแม่จามเทวีเห็นดังนั้น ก็คิดว่าคงไม่ได้การ จึงออกอุบายทำหมวกปีกกว้างหลากสีงดงามถวายแด่ขุนหลวงวิรังคะเพื่อเป็นกำลัง ใจ แต่ว่าพระนางได้ลงคาถาอาคมไว้<br /> <br /> เมื่อถึงเวลาขุนหลวงวิรังคะก็ทรงสวมหมวกที่เจ้าแม่จามเทวีทำให้ก่อนที่จะ พุ่งเสน้าก็ได้เกิดมีลมพัดปีกหมวกลงมาปิดตา ทำให้เสียสมาธิและอ่อนกำลังลง เสน้าจึงพุ่งไปตกที่ดอยเงินเหนือดอยคำไปไม่ถึงเมืองหริภุญชัย ขุนหลวงวิรังคะเกิดความโมโหจึงได้ยกทัพไปตีเมืองหริภุญชัยแต่ได้รับความพ่าย แพ้กลับมา ระหว่างตีเมืองหริภุญชัยขุนหลวงวิรังคะได้รับบาดเจ็บสาหัส ก่อนที่จะสิ้นใจได้มีพระประสงค์ให้นำศพไปฝัง ณ จุดที่สามารถมองเห็นเมืองหริภุญชัยได้ชัดเจนแต่ไม่สามารถนำศพข้ามแม่น้ำไป ได้เนื่องจากความเชื่อของคนสมัยก่อนว่า ศพของกษัตริย์จะต้องนำไปฝัง ณ ยอดดอยสูงสุด<br /> <br /> ดังนั้นชาวเมืองจึงนำโลง (ล่อง) ใส่ศพเดินลัดเลาะไปตามสันเขาแต่ในระหว่างเดินทางล่องบรรจุศพได้เกิดคว่ำลง ณ จุดบริเวณที่ชาวบ้านเรียกว่า "ม่อนล่อง" หรือ "ม่อนคว่ำล่อง" นั้นเอง จึงเป็นที่มาของชื่อดอยม่อนล่อง จากบริเวณนี้สามารถมองเห็นทัศนียภาพของเมืองเชียงใหม่และลำพูนได้ชัดเจน<br /> <br /> ปัจจุบันดอยม่อนล่องได้รับการพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวย งามซึ่งอยู่ในพื้นที่ของโครงการหลวงบ้านหนองหอย ด้วยลักษณะที่เป็นหน้าผาหินสูงชันซึ่งมีความสูงจากระดับน้ำทะเล 1,450 เมตรมีอากาศบริสุทธิ์และเป็นจุดชมวิวที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของเชียงใหม่ อีกทั้งอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองเชียงใหม่อีกด้วย โดยใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง จึงนับว่าดอยม่อนล่องเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงามและมีนักท่อง เที่ยวขึ้นไปเที่ยวชมมากที่สุดแห่งหนึ่ง<br /><br /> จักรพงษ์ คำบุญเรือง<br /> jakrapong@chiangmainews.co.th.<br /> 23/1/52<br /><br />ที่มา : เชียงใหม่นิวส์<br /><br />travel and food,Thailand

แอ่ว "บ้านหนองหอยเก่า"ขึ้นเขาไปชมดอยม่อนล่อง

แอ่ว "บ้านหนองหอยเก่า"ขึ้นเขาไปชมดอยม่อนล่อง บริเวณบ้านหนองหอย อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ เป็นหมู่บ้านชาวเขาเผ่...

Read more »

ตรุษจีนเชียงใหม่ที่...ตรอกเล่าโจ้ว

<div style="text-align: center;"><img border="0" src="http://www.chiangmainews.co.th/images/img/4160-2.jpg" /><br /></div><br /> "ซินเจีย หยู่อี่ ซินนี้ ฮวดใช้" เป็นคำในภาษาจีนมีความหมายถึง โชคดีปีใหม่มีเงินทองใช้ถ้วนหน้า เมื่อถึงช่วงเทศกาลตรุษจีน หรือวันปีใหม่ของชาวจีน เราจะเห็นว่าร้านค้าต่างๆ จะประดับประดาด้วยสีแดง ตั้งโต๊ะบูชาบรรพบุรุษ ที่หน้าประตูห้อยโคมไฟสีแดง รวมทั้งมีการเฉลิมฉลองกันอย่างยิ่งใหญ่ เทศกาลตรุษจีนเชียงใหม่ย่านตรอกเล่าโจ้ว จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่เป็นประจำทุกปี ใช้ชื่อว่า "ไชน่าทาวน์เมืองเชียงใหม่"<br /> <br /> บรรยากาศของงานเทศกาลตรุษจีนเชียงใหม่ มีการตกแต่งประดับโคมจีนพร้อมแสงไฟส่องสว่างกว่า 2,000 ลูก ตลอดแนวถนนข่วงเมรุ หรือ ตรอกเล่าโจ้ว มีการแสดงนาฏศิลป์ กายกรรม ดนตรีจีนโบราณและการแสดงขบวนแห่ทางวัฒนธรรมของจีนที่น่าสนใจ นอกจากนั้นมีการจัดซุ้มศิลปวัฒนธรรมจีน การทำโคมไฟกระดาษ การปักผ้าด้วยไหมจีน ในงานยังมีการจัดเทศกาลอาหารอร่อย มีร้านค้าจากภัตตาคารชื่อดังทั่วเชียงใหม่มาเปิดร้านจำหน่ายอาหาร<br /> <br /> วันปีใหม่ของชาวจีน หรือ วันตรุษจีน ได้กำหนดเอาวันสิ้นเดือน 12 คือวันขึ้น 1-3 ค่ำเดือนอ้ายของชาวจีน ซึ่งจะตรงกับปลายเดือนมกราคมหรือเลยมาถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์ ในวันย่างเข้าฤดูใบไม้ผลิหรือชาวจีนเรียกว่า "ชุนเจี๊ย" หรือ ตรุษจีน ความสนุกสนานและพิธีกรรมต่างๆ ก็ได้เกิดขึ้นอีกครั้งหลังจากที่รอคอยมานานนับปี บ้านเรือนร้านค้าของชาวจีนจะถูกตกแต่งด้วยวัตถุมงคลมีการเฉลิมฉลองด้วยความ รื่นเริง ธุรกิจต่างๆ ที่ทำกันมาอย่างเหน็ดเหนื่อยทั้งปีก็จะถูกปิดลงอย่างเงียบสงบ หลงเหลือแต่เพียงกลิ่นหอมจากควันธูปและของเซ่นไหว้ที่ลูกหลานพร้อมใจกันมา สักการะบรรพบุรุษของพวกเขา<br /> <br /> เทศกาลตรุษจีนแบ่งออกเป็น 3 วันคือ วันจ่าย วันไหว้และวันถือ วันที่สำคัญที่สุดจะอยู่ในสองวันสุดท้าย วันไหว้จะตรงกับวันสิ้นเดือน 12 ของจีน ในวันนี้จะมีพิธีไหว้อยู่ 3 เวลาคือ เช้า กลางวันและบ่าย เป็นการไหว้เจ้า ไหว้บรรพบุรุษและญาติมิตรที่ล่วงลับไปแล้ว ส่วนของที่นำมาไหว้ได้แก่ หมู เป็ด ไก่ สุรา น้ำชา เห็ดหอม ขนมเทียน ขนมเข่ง ส้มจีนและผลไม้ต่างๆ ที่ขาดไม่ได้คือ กระดาษเงินกระดาษทอง หรือเครื่องใช้ส่วนตัวที่เป็นกระดาษ หลังจากการเซ่นไหว้แล้วก็จะนำไปเผาเพื่อให้บรรพบุรุษที่ล่วงลับได้นำไปใช้บน สรวงสรรค์ บางครอบครัวเมื่อสิ้นสุดการไหว้ก็จะมีการจุดประทัด ในช่วงเวลาค่ำของวันนั้นผู้ใหญ่ในครอบครัวก็จะเอาเงินหรือสิ่งของให้แก่บุตร หลาน ชาวจีนเรียกว่า "แต๊ะเอีย" ซึ่งหมายถึงเงินก้นถุงประจำปี วัตถุประสงค์ของการให้เงินแต๊ะเอียก็คือ ผู้ใหญ่ต้องการให้เด็กมีเงินมีทองเก็บไว้ ถ้าเป็นลูกหลานเล็กๆ ก็จะใส่กระดาษสีแดง เรียกว่า "อั่งเปา" ส่วนบรรดาลูกจ้างที่ทำงานด้วยก็จะได้เงินแต๊ะเอียเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นตามบ้านบริษัทและห้างร้านต่างๆ จนในที่สุดเงินแต๊ะเอียได้กลายเป็นเงินรางวัลประจำปี หรือคล้าย ๆ กับเงินโบนัสไปเสียแล้ว<br /> <br /> วันถือ เป็นวันถัดจากวันไหว้ เรียกว่า "ชิวอิก" เป็นวันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน และถือเป็นวันมงคลจะไม่ประกอบการงาน ไม่ซื้อ ไม่ขาย งดเว้นการกระทำที่ไม่ดี เช่น ไม่ทะเลาะกัน ไม่ทำของแตก ไม่ใช้มีดหรือของมีคม ไม่กวาดบ้าน เพราะชาวจีนเชื่อว่าจะเป็นการกวาดเอาโชคลาภออกไปจากบ้าน ส่วนเครื่องแต่งกายที่ดูเหมือนจะเน้นสีสันสดใส โดยเฉพาะสีแดงก็คือ ชาวจีนมีความเชื่อว่าสีแดงเป็นสีแห่งมงคล<br /> <br /> สัญลักษณ์ของงานตรุษจีนที่ดูเหมือนว่าจะขาดไม่ได้ก็คือ การแห่มังกรและการแห่สิงโต คนจีนโบราณเชื่อว่า มังกรเป็นสัตว์เทพมีฤทธิ์สามารถแปลงกายได้ บันดาลให้ฝนตกได้และยังเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ความรุ่งเรืองและมี อำนาจ รวมทั้งยังเป็นเทพเจ้าผู้คุ้มครองที่บรรพบุรุษนับถือบูชาอย่างยิ่ง นอกจากนี้มังกรยังมีความหมายว่า การเปลี่ยนแปลงพัฒนาให้สิ่งสิริมงคลยิ่งขึ้นไปอีก<br /> <br /> ในเทศกาลตรุษจีนชาวจีนจะนิยมการจุดประทัด มีตำนานเล่าขานเกี่ยวกับการจุดประทัดว่า เมื่อหลายพันปีมาแล้วมีชาวจีนคนหนึ่งชื่อ "ตงโซ่ว" ป่วยเป็นโรคไข้จับสั่นรักษาอย่างไรก็ไม่หาย บรรดาญาติพี่น้องก็คิดว่านายตงโซ่วถูกผีเข้า ก็เลยไปตามนายหลี่เทียน หมอผีในหมู่บ้านมาทำการรักษา นายหลี่เทียนสั่งให้ชาวบ้านไปหาไม้ไผ่มาสุมไว้กองใหญ่ แล้วจุดไฟเผาไม้ไผ่กองนั้นจนไหม้แตกเกิดเสียงโป้งป้างหมดไปหลายกอง อาการของนายตงโซ่วจึงเริ่มดีขึ้น ต่อมามีคนจีนหัวใสได้คิดประดิษฐ์ประทัดขึ้นเพื่อใช้แทนการเผาไม้ไผ่และได้ รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ชาวจีนจึงมีความเชื่อต่อมาว่าปีศาจชั่วร้ายทั้งหลายต่างกลัวไฟและเสียงดัง<br /> <br /> นอกจากนี้ในวันตรุษจีนคนไทยเชื้อสายจีนยังนิยมการปิดรูปเทวดารักษาประตูมา ตั้งแต่ในอดีต ซึ่งปัจจุบันก็ยังสามารถพบเห็นกันอยู่อย่างมากมายตามบ้านเรือนของชาวจีน โดยมีความเชื่อว่า เพื่อเป็นการป้องกันภูตผีปีศาจและขจัดภัยพิบัติทั้งปวง ส่วนกาพย์กลอนคู่เป็นกาพย์กลอนสิริมงคลที่ปิดไว้บนประตูบ้านในวันตรุษจีน ส่วนใหญ่จะนิยมข้อความที่มีความหมายว่า "ทรัพย์อุดมค่าประเสริฐ" หรือ "คนเก่งแผ่นดินดี" หรือ "สุขสันต์ทุกปีสมความปรารถนาตลอดกาล" เป็นต้นซึ่งข้อความเหล่านี้จะมีความหมายที่ดีและติดเพื่อเป็นการส่งท้ายปี เก่าต้อนรับปีใหม่ของชาวจีน<br /> <br /> เทศกาลตรุษจีนจึงเป็นความเชื่อและประเพณีอันสูงส่งของชาวจีนที่นับวันจะยิ่งใหญ่และมีมนต์ขลังมากขึ้นทุกที.<br /><br /> จักรพงษ์ คำบุญเรือง<br /> jakrapong@chiangmainews.co.th<br /> 15/1/52<br /><br />ที่มา เชียงใหม่นิวส์..<br /><br />travel and food,Thailand

ตรุษจีนเชียงใหม่ที่...ตรอกเล่าโจ้ว

"ซินเจีย หยู่อี่ ซินนี้ ฮวดใช้" เป็นคำในภาษาจีนมีความหมายถึง โชคดีปีใหม่มีเงินทองใช้ถ้วนหน้า เมื่อถึงช่วงเทศกาลตรุ...

Read more »

600 ปี พระเจดีย์หลวง

<div style="text-align: center;"><a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="http://www.chiangmainews.co.th/images/img/4060-2.jpg"><img alt="" border="0" src="http://www.chiangmainews.co.th/images/img/4060-2.jpg" style="cursor: pointer; width: 350px; height: 233px;" /></a><br /><br /><div style="text-align: left;">วัดเจดีย์หลวง มีชื่อเรียกหลายชื่อ ได้แก่ ราชกุฏาคาร , วัดโชติการาม สร้างขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้าแสนเมืองมา กษัตริย์ลำดับที่ 7 แห่งราชวงศ์มังราย ไม่ปรากฏปีที่สร้างแน่ชัด สันนิษฐานว่าวัดแห่งนี้น่าจะสร้างในปี พ.ศ.1934 ถ้านับจนถึงปัจจุบันมีอายุ 616 ปี วัดเจดีย์หลวงเป็นพระอารามหลวงแบบโบราณ<br /> <br /> ในหนังสือชินกาลมาลีปกรณ์ แปลโดย ศาสตราจารย์แสง มนวิฑูร พิมพ์เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2501 กล่าวถึงเจดีย์หลวงว่า "จุลศักราช 289 (พ.ศ.1874) พระเจ้าแสนภู โปรดให้สร้างเมืองเชียงแสน และต่อมาอีก 4 ปีทรงสร้างมหาวิหารขึ้นในท่ามกลางเมืองเชียงแสน" มหาวิหารที่ว่านี้คือวัด เจดีย์หลวงองค์ที่ 1 ซึ่งอยู่ในวัดพระเจ้าตนหลวง เมืองเชียงแสน ปัจจุบันยังปรากฏองค์พระธาตุให้เห็นอยู่<br /> <br /> สมัยพระเจ้าแสนเมืองมา ขณะที่มีพระชนมมายุ 39 ปี พระองค์โปรดให้สร้างพระเจดีย์หลวงกลางเมืองเชียงใหม่ แต่ยังไม่ทันแล้วเสร็จดีก็ทรงสวรรคต พระราชินีผู้เป็นอัครมเหสีของพระองค์ ได้โปรดให้ทำยอดพระธาตุเจดีย์หลวงจนแล้วเสร็จ "พระธาตุเจดีย์หลวงเมื่อสร้างเสร็จ (พระเจ้าติโลกราชสร้างเสริมให้สูงใหญ่ขึ้น) เรียบร้อยแล้ว มีระเบียบกระพุ่มยอดเป็นอันเดียว ฐานกว้างด้านละ 52 ศอก สูง 92 ศอก ก่อด้วยศิลาแลงทั้งสี่ด้าน"<br /> <br /> พระเจ้าติโลกราช กษัตริย์ราชวงศ์มังราย ลำดับที่ 11 โปรดให้หมื่นด้ามพร้าคต ไปจำลองแบบมหาเจดีย์จากเมืองลังกามาสร้างเป็นเจดีย์สูง 43 วา ฐานกว้าง 27 วา เมื่อสร้างเสร็จแล้ว พระเจ้าติโลกราชทรงอัญเชิญพระแก้วมรกต (องค์เดียวกับที่ประดิษฐานอยู่ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือ วัดพระแก้วในพระบรมมหาราชวัง กรุงเทพฯ) มาจากเมืองลำปาง โปรดให้สร้างซุ้มประดิษฐานไว้ที่ข้างองค์พระเจดีย์ด้านทิศตะวันออก ในสมัยหลังพระแก้วมรกตถูกอัญเชิญไปประดิษฐานอยู่ที่เมืองล้านช้าง ประเทศลาว กระทั่งสมัยรัตนโกสินทร์ สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้อัญเชิญพระแก้วมรกตกลับมาประดิษฐานที่กรุงธนบุรีและกรุงเทพมหานคร<br /> <br /> ตำนานเมืองเหนือกล่าวถึงการสร้างวัดเจดีย์หลวงในสมัยพระเจ้าแสนเมืองมา ซึ่งเป็นโอรสของพระเจ้ากือนาว่า "ส่วนเจ้ากือนาตนพ่อ เมื่อละวางอารมณ์ไปแล้ว ก็ได้เป็นอสุรกายรุกขเทวดารักษาต้นไม้นิโครธต้นหนึ่ง อยู่ริมทางเดินที่จะเดินเข้าไปเวียง ขณะนั้นมีพ่อค้าหมู่หนึ่งไปเมืองพุกามมา ก็มาถึงต้นนิโครธต้นนั้นและพักอยู่ เมื่อนั้นรุกขเทวดาก็แสดงบอกแก่พ่อค้าทั้งหลายว่า กูนั้นเป็นพญากือนา กินเมืองเชียงใหม่ที่นี่แล ก็ครบด้วยสหาย มีศิลปอาคมเป็นหมอช้าง ครั้นกูตายก็ได้มาเป็นอสุรกายรุกขเทวดา อยู่รักษาต้นไม้นี้แล กูจะไปเกิดในสวรรค์เทวดาโลกไม่ได้ ให้สูไปบอกแก่ลูกกูเจ้าแสนเมืองมา ให้สร้างพระเจดีย์หลังหนึ่งที่ท่ามกลางเวียง สูงพอคนอยู่ไกลสองปันวาแลเห็นนั่นเถิด จึงให้ทานกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้แก่กู กูจักได้พ้นอันเป็นรุกขเทวดาที่นี่ แล้วจักได้ไปเกิดในสวรรค์"<br /> <br /> เมื่อพระเจ้าแสนเมืองมาทราบความ จึงโปรดให้แผ้วถางที่ แล้วก่อพระเจดีย์สวมทับไว้ แต่ยังไม่ทันแล้วเสร็จพระเจ้าแสนเมืองก็สวรรคตเสียก่อน ต่อมาจึงได้มีผู้สร้างเจดีย์เพิ่มเติมขึ้นภายหลัง ปี พ.ศ.2055 พระราชา (พระเมืองแก้ว) พร้อมด้วยชาวเมืองทั้งหลาย เอาเงินมาทำกำแพงล้อมพระธาตุเจดีย์หลวง 3 ชั้นได้เงิน 254 กิโลกรัม จากนั้นจึงได้เอาเงินมาแลกเป็นทองคำจำนวน 30 กิโลกรัม แล้วแผ่เป็นแผ่นทึบหุ้มองค์พระธาตุเจดีย์หลวง เมื่อรวมกับทองคำที่หุ้มองค์พระเจดีย์หลวงอยู่เดิม ได้น้ำหนักทองคำถึง 2,382.517 กิโลกรัม<br /> <br /> ต่อมาในสมัยพระมหาเทวีจิระประภา ประมาณ พ.ศ.2088 ได้เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในเชียงใหม่ จึงทำให้ยอดพระเจดีย์หลวงหักพังทลายลงมา หลังจากนั้นพระเจดีย์หลวงจึงถูกทิ้งให้ร้างมานานกว่า 400 ปี กระทั่งปี พ.ศ.2423 พระเจ้าอินทวิชายานนท์ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ องค์ที่ 7 ได้รื้อพระวิหารหลังเก่าและสร้างวิหารหลวงขึ้นใหม่ด้วยไม้ทั้งหลัง<br /> <br /> ช่วงปี พ.ศ.2471-2481 สมัยพลตรีเจ้าแก้วนวรัฐ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่องค์สุดท้าย ถือได้ว่าเป็นทศวรรษแห่งการบูรณะครั้งสำคัญของวัดพระเจดีย์หลวง ได้มีการรื้อถอนสิ่งปรักหักพัง แผ้วถางป่าที่ขึ้นปกคุลมโบราณสถานต่างๆออก แล้วสร้างเสริมเสนาสนขึ้นใหม่ให้เป็นวัดสมบูรณ์แบบในเวลาต่อมา<br /> <br /> พระเจดีย์หลวง ได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่โดยกรมศิลปากร เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2533 ใช้งบประมาณในการบูรณะถึง 35 ล้านบาท แล้วเสร็จเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2535 จนปัจจุบันมีขนาดความกว้างด้านละ 60 เมตร เป็นองค์พระเจดีย์ที่มีความสำคัญที่สุดองค์หนึ่งในเชียงใหม่ตั้งเด่นเป็น สง่าอยู่กลางเมือง<br /><br /> เอกสารประกอบ<br /> 1.บุญเสริม สาตราภัย "ลานนาไทยในอดีต" ,2522<br /> 2.วัดเจดีย์หลวง พิมพ์ในโอกาสสมโภช 600 ปีพระธาตุเจดีย์หลวง,2538<br /><br /> จักรพงษ์ คำบุญเรือง<br /> jakrapong@chiangmainews.co.th<br /> 8/1/52</div></div><br /><br /><br />travel and food,Thailand

600 ปี พระเจดีย์หลวง

วัดเจดีย์หลวง มีชื่อเรียกหลายชื่อ ได้แก่ ราชกุฏาคาร , วัดโชติการาม สร้างขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้าแสนเมืองมา กษัตริย์ลำดับที่ 7 แห่งราชวงศ์มังร...

Read more »

Pai Reggae Music Festival 2009 มหกรรมดนตรีเร้กเก้ เมืองปาย

<span style="font-weight: bold;">Welcome to Reggae Music Festival 2009</span><br /><span style="font-weight: bold;">"GREEN WORLD PAI SEASON"<br /></span> <span style="font-weight: bold;">"เปิดโลกสีเขียว มหกรรมท่องเที่ยวเมืองปาย "</span><br /><a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhP7tbrF_w4Y7fMzSOBjmLt7T7Uq7DDx-hwukT9K9UBCCIcPSX9VA47JGZgxSOFLxiveNU07NbbRowuPqfu0YtUhbetq-q-MbdXKhCUJnGza5TLC2thapyoAjjXObiXbYqPr99TTgDPMGuD/s1600-h/paifestival_22.jpg"><img alt="" border="0" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5291734842479653746" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhP7tbrF_w4Y7fMzSOBjmLt7T7Uq7DDx-hwukT9K9UBCCIcPSX9VA47JGZgxSOFLxiveNU07NbbRowuPqfu0YtUhbetq-q-MbdXKhCUJnGza5TLC2thapyoAjjXObiXbYqPr99TTgDPMGuD/s400/paifestival_22.jpg" style="cursor: pointer; width: 473px; height: 210px;" /></a><br /><br />มหกรรมดนตรีเร้กเก้ เมืองปาย ครั้งที่ 4/2552 ได้หมุนมาครบรอบอีกครั้ง กับแนวความคิดเรื่อง "ปลูกกล้วยช่วยโลก Banana Music Festival" รวมสายใจไทยสู่สายใยกล้วย และการตื่นตัวต่อกระแสการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นทั่วโลก<br /><a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhtda49gGjrpOnYdoSMmVKKT3INC_bUpbs4ReH2n94Kubp_aJVCQfETLzsLDb6HKOa_d0LBzHN48sIe83qGYD5w30z5WIZAnysP7h-mR1GWViFGym71erGNbmb1dfIzavRZ3lUpb8YRBVYT/s1600-h/paifestival_23.jpg"><img alt="" border="0" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5291735062308727634" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhtda49gGjrpOnYdoSMmVKKT3INC_bUpbs4ReH2n94Kubp_aJVCQfETLzsLDb6HKOa_d0LBzHN48sIe83qGYD5w30z5WIZAnysP7h-mR1GWViFGym71erGNbmb1dfIzavRZ3lUpb8YRBVYT/s400/paifestival_23.jpg" style="cursor: pointer; width: 570px; height: 152px;" /></a><br /><br /><br />NO LOW SEASON in PAI, JUST GREEN SEASON<br />เพื่อให้ฤดูกาล ไม่ใช่เป็นอุปสรรคของการท่องเที่ยวเมืองปาย เราจึงมาร่วมกันรณรงค์ ปรับโลกทรรศน์ ของผู้ประกอบการการท่องเที่ยวและนักท่องเที่ยว มาดื่มด่ำกับบรรยากาศเมืองปาย ในช่วงที่ว่ากันว่าเป็น LOW SEASON ให้กลายเป็นสวรรค์สีเขียว<br />เป็น GREEN SEASON และเป็นสวรรค์ทุกฤดูกาล<br /><br />24-25 มกราคม 2551 นี้ ณ ลุ่มน้ำปาย บ้านต้นไม้ (PAI TREE HOUSE RESORT)<br />พื้นที่ที่สาธารณะประโยชน์ เขตรักษาป่า หนองกระทิง ตำบลเวียงเหนือ อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน บัตรราคา 390 บาท/คืน<br /><br /><a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEguTyFESwHrJnPnSfkWFwQi5_y7BLl7bQXAvWJ2J13rJ3_UlsW0v9IL3aXt7z6tIN3IQGqbx6aCOe-muEsgqp3Zp7nAehDFrPvjEcVWDozflRh-8QtTDURtBWqhMKdtyCLgqvqv_QZzvrXc/s1600-h/membercard.png"><img alt="" border="0" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5291735273178991506" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEguTyFESwHrJnPnSfkWFwQi5_y7BLl7bQXAvWJ2J13rJ3_UlsW0v9IL3aXt7z6tIN3IQGqbx6aCOe-muEsgqp3Zp7nAehDFrPvjEcVWDozflRh-8QtTDURtBWqhMKdtyCLgqvqv_QZzvrXc/s400/membercard.png" style="margin: 0pt 10px 10px 0pt; float: left; cursor: pointer; width: 240px; height: 400px;" /></a>Free!! Member card in which you in green season (June-Aug)<br />will get free Shuttle bus and 25-50 % discount on room and adventure.<br /><br />สิทธิประโยชน์ บัตรเข้าชมงาน เทศกาลเร้กเก้เมืองปาย 2009<br />• แลกเครื่องดื่มได้ 1 Drink และรับของที่ระลึกได้ที่หน้างานในเวลา 18.00-20.00 น.<br />• สิทธิพิเศษของบัตรงานเทศกาลเร้กเก้เมืองปาย 2009 ทูอินวัน สองงานใบเดียว สามสิทธิประโยชน์<br />• เป็นบัตรเข้างานเทศกาลเร้กเก้เมืองปาย 2009<br />• เป็นบัตรลดราคาห้องพัก รีสอร์ตและกิจกรรมแอดเวนเจอร์ต่างๆ ในปายช่วง GREEN SEASON 90 วัน JUNE-JULY-AUGUST 20-50 %<br />• สามารถเข้างาน เทศกาล GREEN WORLD SEASON & BANANA WORLD FESTIVAL เพื่อชม เทศกาลดนตรี BANANA MUSIC ในช่วง 3-9 JUNE 2009 นำกล้วยทุกสายพันธุ์ มาปลูกไว้ที่นี่ (ป่าชุมชนหนองกระทิง อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน)<br />Note : เนื่องจากอากาศเย็นและอาจจะไม่มีที่พักเพียงพอ จึงขอความร่วมมือกรุณานำเต็นท์ไปเอง<br /><br />*ใช้บัตร Concert Reggae โดยทำเป็นบัตรสมาชิก Green Season Member Card<br />ใช้ได้เฉพาะ เทศกาล Green Season เท่านั้น (มีกำหนด 90 วัน แห่งความสุข กับปาย ตั้งแต่ 1 มิถุนายน – 30 กันยายน 2552) หรือใช้เป็นส่วนลดสำหรับห้องพัก 50%<br /><br />* * ฟรี!! ชัตเตอร์บัสรับ-ส่ง จากหน้าโรงเรียนปายวิทยาคาร<br />เริ่มออก 18.00 น. ออกทุกๆ 10 นาที ไปยังหน้างานการแสดง ปายทรีเฮาส์รีสอร์ท รถรับ-ส่งมีถึง 04.00 น.<br /><br /><br /><a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi1VWHrcu5YwMriT2V9Ze6I9O-r3HosHasOLElcwNbhNUdf6l_EHwF9VVZ27ihYVWrcNoVFXED3q7MFK_MF3oGdb_zMNcfyX-CL0N4-GmE3lnX-WdAngGdNvIpQh0X_jThGhdObZ9Dh47HW/s1600-h/P_S.jpg"><img alt="" border="0" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5291735519343738498" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi1VWHrcu5YwMriT2V9Ze6I9O-r3HosHasOLElcwNbhNUdf6l_EHwF9VVZ27ihYVWrcNoVFXED3q7MFK_MF3oGdb_zMNcfyX-CL0N4-GmE3lnX-WdAngGdNvIpQh0X_jThGhdObZ9Dh47HW/s400/P_S.jpg" style="cursor: pointer; width: 513px; height: 163px;" /></a><br /><br /><a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEia8eox9DsgMv6oqFJNKUQkHv8kfqf2xdQKpqRK8wWbJWhY30tDuEzyYgEmXPU8mv5CLP7VDbT03s4vH8ebDeMdxltPL14zdjtg6gcggdrmDH4HZTwrcSxZPjubJ62YSmKpqE63O0ACd6xk/s1600-h/T-shirt.jpg"><img alt="" border="0" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5291735754815992066" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEia8eox9DsgMv6oqFJNKUQkHv8kfqf2xdQKpqRK8wWbJWhY30tDuEzyYgEmXPU8mv5CLP7VDbT03s4vH8ebDeMdxltPL14zdjtg6gcggdrmDH4HZTwrcSxZPjubJ62YSmKpqE63O0ACd6xk/s400/T-shirt.jpg" style="cursor: pointer; width: 511px; height: 204px;" /></a><br /><a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiSQuNGWhGzl3Z_G60dMx1c7QvHN1whDEYZY1mfyxLqZ_eF6THMLqcFlI63CJ74JRnT8pPaj39t7gE43Ql2DyMT8hEqHlEA3QVgRfP-iQB8FJs8IXPLqDSMx3Q4XEYgQbLLssPuDDc1fPlg/s1600-h/poster2009.jpg"><img alt="" border="0" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5291735931654878450" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiSQuNGWhGzl3Z_G60dMx1c7QvHN1whDEYZY1mfyxLqZ_eF6THMLqcFlI63CJ74JRnT8pPaj39t7gE43Ql2DyMT8hEqHlEA3QVgRfP-iQB8FJs8IXPLqDSMx3Q4XEYgQbLLssPuDDc1fPlg/s400/poster2009.jpg" style="cursor: pointer; width: 283px; height: 400px;" /></a><br /><table style="width: 545px; height: 390px; color: rgb(2, 7, 3);" border="1" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td colspan="3"><p align="center"><strong> <span class="style8"><br /> DATE: 24 th SAT Jan 09 </span><br /> VENUE: PAITREEHOUSE RESORT<br /> <br /> </strong></p> </td> </tr> <tr align="center" bgcolor="#333333" valign="middle"> <td style="color: rgb(255, 255, 255);" width="200"><div class="style9" align="center">Time </div></td> <td style="color: rgb(255, 255, 255);" width="266"> <div class="style10" align="center">Activities </div></td> <td style="color: rgb(255, 255, 255);" width="234"> <div class="style11" align="center"><br /> Artists<br /> <br /> </div></td> </tr> <tr bgcolor="#666666"> <td style="color: rgb(255, 255, 255);"> <div align="center">06.30 Pm </div></td> <td style="color: rgb(255, 255, 255);"><p><br /> : GATES OPEN<br /> : It al about Gypsy music<br /> : Booth Exhibition “Green Season”<br /> : Open jam Drum Cycleon Da ’ stage<br /> <br /> </p> </td> <td style="color: rgb(255, 255, 255);"><p align="center"> WOODOO BAND<br /> <br /> WE BE JAMMIN </p> </td> </tr> <tr bgcolor="#333333"> <td style="color: rgb(255, 255, 255);"><p class="style14" align="center"> 08.30 Pm<br /> 09.30 Pm<br /> 10.00 Pm<br /> 10.45 Pm<br /> 11.30 Pm<br /> 12.15Am<br /> 12.45Am<br /> 02.00Am<br /> TILL LATE </p> </td> <td style="color: rgb(255, 255, 255);"><br /></td> <td style="color: rgb(255, 255, 255);"><p align="center"><br /> <span class="style14">BACKPACKER<br /> UGLY BUGS<br /> SOMLOM<br /> GOLD RED<br /> JELLY FISH<br /> AZTONAPAI<br /> JOB 2 DO<br /> SPECIAL<br /> GUESTS JAM </span><br /> <br /> </p> </td> </tr> </tbody></table> <br /><br /> <table style="width: 539px; height: 405px; color: rgb(2, 7, 3);" border="1" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr> <td colspan="3"><p align="center"><strong> <span class="style8"><br /> DATE: 25 th SAT Jan 09 </span><br /> VENUE: PAITREEHOUSE RESORT<br /> <br /> </strong></p></td> </tr> <tr align="center" bgcolor="#333333" valign="middle"> <td style="color: rgb(255, 255, 255);" width="200"><div class="style9" align="center">Time </div></td> <td style="color: rgb(255, 255, 255);" width="266"><div class="style10" align="center">Activities </div></td> <td style="color: rgb(255, 255, 255);" width="234"><div class="style11" align="center"><br /> Artists<br /> <br /> </div></td> </tr> <tr bgcolor="#666666"> <td style="color: rgb(255, 255, 255);"><div align="center">06.30 Pm </div></td> <td style="color: rgb(255, 255, 255);"><p><br /> : GATES OPEN<br /> : It al about Gypsy music<br /> : Booth Exhibition “Green Season”<br /> : Open jam Drum Cycleon Da ’ stage<br /> <br /> </p></td> <td style="color: rgb(255, 255, 255);"><p align="center"> WOODOO BAND<br /> <br /> WE BE JAMMIN </p></td> </tr> <tr bgcolor="#333333"> <td style="color: rgb(255, 255, 255);"><p align="center"> 08.30 Pm<br /> 09.15 Pm<br /> 09.45 Pm<br /> 10.30 Pm<br /> 11.15 Pm<br /> 12.00Am<br /> <br /> 12.45Am<br /> 02.00Am<br /> TILL LATE </p> </td> <td style="color: rgb(255, 255, 255);"><br /></td> <td style="color: rgb(255, 255, 255);"><p align="center"><br /> RAJHASIE-1<br /> SKA RANGERS<br /> SUPERGLASSES<br /> TEDDY SKA<br /> KAI JO<br /> THE EXOTIC<br /> PERCUSSION<br /> T-BONE<br /> SPECIAL<br />GUESTS JAM<br /></p></td></tr></tbody></table><br /><br />ที่มา http://paireggaefest.com<br /><br />travel and food,Thailand

Pai Reggae Music Festival 2009 มหกรรมดนตรีเร้กเก้ เมืองปาย

Welcome to Reggae Music Festival 2009 "GREEN WORLD PAI SEASON" "เปิดโลกสีเขียว มหกรรมท่องเที่ยวเมืองปาย " มหกรรมดนตรีเร...

Read more »

งานเทศกาลร่มบ่อสร้างและหัตถกรรมสันกำแพง

<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg2_F_n1MORTK9FfB6h5hzgswO96Fkv3d-eBYSzmXcjvrwY8y73oLOoJk344R92S6vrowWfrlKghSRxgTegJONIY4Lsu416xcJdPSSEnC4wXDj0Yj-CvX7f5NmZk6SzJOOZNTFh8bd8prZE/s1600-h/3.jpg"><img alt="" border="0" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5291464391210377906" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg2_F_n1MORTK9FfB6h5hzgswO96Fkv3d-eBYSzmXcjvrwY8y73oLOoJk344R92S6vrowWfrlKghSRxgTegJONIY4Lsu416xcJdPSSEnC4wXDj0Yj-CvX7f5NmZk6SzJOOZNTFh8bd8prZE/s320/3.jpg" style="margin: 0pt 10px 10px 0pt; float: left; cursor: pointer; width: 200px; height: 134px;" /></a>ทักทายกันยามเย็น เริ่มแล้ว ๆ งานเทศกาลร่มบ่อสร้างและหัตถกรรมสันกำแพง วันที่ วันที่ 16 - 18 มกราคม 2552 นี้ค่ะ ณ บริเวณหมู่บ้านหัตถกรรมบ่อสร้าง ตำบลต้นเปา อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ พบกับกิจกรรม การจัดขบวนแห่วัฒนธรรมรถประดับร่ม การประกวดหัตถกรรม การแข่งขันวาดพัด วาดร่มของนักท่องเที่ยว การประกวดธิดาร่วมบ่อสร้าง “แม่ญิงงามขี่รถถีบกางจ้อง” (ผู้หญิงถีบจักรยานกางร่ม) การกินข้าวแลง(ข้าวเย็น) และขันโตก<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjtYAWyq-KSWitAmz4Agt4-ZyLBw5udbBxjLYbRW918vAaOT2SdRlmdx4ASGzq6gFwvleQCyU1AylyI5bqx2MsAf3Ov55_vCmfez7HN0hrWfE2GnaTfAkOGQPlcRZnJOGh3EuVzt46d3POF/s1600-h/%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%9A%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%8702.jpg"><img alt="" border="0" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5291464529753840802" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjtYAWyq-KSWitAmz4Agt4-ZyLBw5udbBxjLYbRW918vAaOT2SdRlmdx4ASGzq6gFwvleQCyU1AylyI5bqx2MsAf3Ov55_vCmfez7HN0hrWfE2GnaTfAkOGQPlcRZnJOGh3EuVzt46d3POF/s320/%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%9A%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%8702.jpg" style="margin: 0pt 0pt 10px 10px; float: right; cursor: pointer; width: 320px; height: 214px;" /></a><br />การแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านที่หาดูได้ยาก "Street Fair" คือ ใช้พื้นที่ของหมู่บ้านบ่อสร้างซึ่งขนานกันตลอดแนวถนน ตั้งแต่บริเวณปากทางเข้าหมู่บ้านจนถึงท้ายหมู่บ้านระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร เป็นสถานที่จัดงาน ตกแต่งบ้านและร้านค้าต่างๆ เป็นแบบล้านนาไทย และใช้ร่มสัญลักษณ์ของหมู่บ้านเป็นส่วนประกอบสำคัญในการตกแต่ง พร้อมทั้งประดับประทีบโคมไฟแบบพื้นเมือง<br />นอกจากนี้ยังมีการแสดงและจำหน่ายร่มกระดาษสาและสินค้าหัตถกรรมของผู้ประกอบการในหมู่บ้านบ่อสร้างที่ผลิตและจำหน่ายในราคาย่อมเยาว์ค่ะ<br /><br /><br /><span style="font-weight: bold;">ขอย้อนอดีตถึงประวัติความเป็นมาของการทำร่ม</span> ให้ได้รู้ประวัติความเป็นมากันก่อนไปร่วมงานนะคะ<br /><a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiC1H5dAewgPMXmlv71MgPyU39qsS_sFMfSAlZpnK3zJc-bp6yGPtl8Uhugqb69Dgx2ZTAwe-OnaeE1tUOoOXjPvEIXQ4XVtbjUIE2BrAyZlzFsZXO27zSNBBJdeza2xkoa9G9BWTwCLSJy/s1600-h/pic2.jpg"><img alt="" border="0" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5291464750018997682" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiC1H5dAewgPMXmlv71MgPyU39qsS_sFMfSAlZpnK3zJc-bp6yGPtl8Uhugqb69Dgx2ZTAwe-OnaeE1tUOoOXjPvEIXQ4XVtbjUIE2BrAyZlzFsZXO27zSNBBJdeza2xkoa9G9BWTwCLSJy/s320/pic2.jpg" style="margin: 0pt 10px 10px 0pt; float: left; cursor: pointer; width: 150px; height: 223px;" /></a>การ ทำร่มเป็นอาชีพของชาวบ้านในอำเภอสันกำแพง เป็นสินค้าที่ขึ้นชื่อไปทั้งในและ ต่างประเทศ จนเป็นสัญญลักษณ์ของเชียงใหม่อย่างหนึ่งจนทุกวันนี้เมื่อประมาณเกือบร้อยปี มาแล้ว<br />มีพระภิกษุ ชื่อพระอินถา ( นามฉายาไม่ปรากฏ ) อยู่ในสำนักวัดบ่อสร้างซึ่งท่านได้ปฏิบัติธรรม โดยการเดินธุดงค์ ไม่ชอบอยู่จำวัดท่านชอบศึกษาขนบธรรมเนียมประเพณี ในถิ่นต่างๆ<br />วันหนึ่งท่านได้ธุดงค์ไปใกล้ชายแดนพม่า มีพุทธศาสนิกชนทั้งไทยและพม่ามาร่วมทำบุญตักบาตร<br /><br /><br />ใน ครั้งนั้นได้มีชาวพม่าคนหนึ่งนำกลดมาถวาย ชาวพม่าได้เล่าว่าเป็นผู้ทำกลดนี้ขึ้นเอง ท่านก็นำกลดขึ้นมาพิจารณาดูว่า มีวิธีทำกันอย่างไร จึงตั้งใจว่าต้องไปศึกษาวิธีทำกลดนี้ให้ได้ จึงเข้าไปศึกษาวิธีการทำกลด, ทำร่ม ที่ชาวพม่าใช้กันแดดกันฝน ซึ่งร่มเหล่านี้ทำด้วยกระดาษสาทั้งสิ้น ติดด้วยน้ำมันยาง ทำให้แข็งแรงทนทาน ท่านจึงคิดศึกษาหาวิธีทำร่มแล้วนำมาถ่ายทอดที่สำนักวัดบ่อสร้างพอกลับมาถึง บ่อสร้าง จึงได้ชักชวนชาวบ้านช่วยกันหาวัตถุดิบ ผู้ชายให้ไปหาเปลือกไม้ นำมาต้มให้เปื่อยทุบให้ละเอียดแล้วใช้ผ้าฝ้ายตาห่างๆ ทำเป็นแม่พิมพ์วางลงในอ่างน้ำแล้วนำปอสาทุบละเอียดมากวนให้แตกทั่วพิมพ์ แล้วยกไปตากแดด พอแห้งก็ทำเป็นกระดาษสาส่วนการทำร่ม ท่านได้สอนทำกลอน โดยใช้ไม้ไผ่ (ทางเหนือเรียกไม้บง ) ส่วนหัวใช้คุ้มและไม้ส้มเห็ด ส่วนคันให้ใช้ไม้รวกและยางตะโกเป็นติด พอเสร็จแล้วใช้น้ำมันยางทาอีกทีเพื่อกันแดดกันฝนต่อมาเริ่มมีการใช้กันมาก ขึ้นอย่างแพร่หลาย มีคนที่มีแนวคิดประดิษฐ์ลวดลายล้านนาใส่ เพื่อความสวยงามและนำออกใช้จนเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย จนปัจจุบันสร้างชื่อเสียงขจรไกลไปทั่วโลกและเป็นเอกลักษณ์ของจังหวัด เชียงใหม่แล้วนับว่าเป็นภูมิปัญญาของปู่ย่าตายาย ที่ได้ถ่ายทอดถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน และได้สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้กับลูกหลาน มาจนถึงทุกวันนี้<br /><a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhELa3wM8vZRMHrq8uQdSuKKu2Dw-a4XOsdqMZcgRoB6nV-VXnkVlzzQ2NLFCZEz-uO179HWlTpHHU1ytbb1mVePpjiH0QJEOOll7ASGzYr_jnbS6I2L_PZkQq9GY-NbszGjAZ-FLAxEZp6/s1600-h/Borsang03.jpg"><img alt="" border="0" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5291464914112840786" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhELa3wM8vZRMHrq8uQdSuKKu2Dw-a4XOsdqMZcgRoB6nV-VXnkVlzzQ2NLFCZEz-uO179HWlTpHHU1ytbb1mVePpjiH0QJEOOll7ASGzYr_jnbS6I2L_PZkQq9GY-NbszGjAZ-FLAxEZp6/s400/Borsang03.jpg" style="cursor: pointer; width: 400px; height: 261px;" /></a><br /><a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjeFyKUMB5Ykr_MXyk3AKnyQLfDcWscbZHmUu__91zOIngbAp_5tzg69fAhglpmmfy3JdRuqhKByQiJH_KCtWazwibQ7G-z_D5wlVsIy7kaabTqo5m0fdhDwHXq8R4CsULmA7pHKPEBG7Nf/s1600-h/Borsang02.jpg"><img alt="" border="0" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5291465066336333138" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjeFyKUMB5Ykr_MXyk3AKnyQLfDcWscbZHmUu__91zOIngbAp_5tzg69fAhglpmmfy3JdRuqhKByQiJH_KCtWazwibQ7G-z_D5wlVsIy7kaabTqo5m0fdhDwHXq8R4CsULmA7pHKPEBG7Nf/s400/Borsang02.jpg" style="cursor: pointer; width: 276px; height: 400px;" /></a><br /><a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgs1NdmNZCwdaS15bs2DhiW2EkDz1BYMosc5hM2RjoaKkObaRd8r0kmH1ybNcXyCkdmkAghv_JQGDDLDJdbyxtcRTsnwDX-yw1GkPRU-UB9L0Zn3I6sgNuNQhN5kY32tPD0AqavlxRbnF-V/s1600-h/%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%9A%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%8703.jpg"><img alt="" border="0" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5291465215426329138" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgs1NdmNZCwdaS15bs2DhiW2EkDz1BYMosc5hM2RjoaKkObaRd8r0kmH1ybNcXyCkdmkAghv_JQGDDLDJdbyxtcRTsnwDX-yw1GkPRU-UB9L0Zn3I6sgNuNQhN5kY32tPD0AqavlxRbnF-V/s400/%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%9A%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%8703.jpg" style="cursor: pointer; width: 400px; height: 300px;" /></a><br /><br />สอบถามรายละเอียด<br />เทศบาลตำบลต้นเปา โทรศัพท์ 0 5333 8048 - 9, www.tonpao.go.th<br />ททท. สำนักงานเชียงใหม่ โทรศัพท์ 0 5324 8604, 0 5324 8607, 0 5324 1466<br /><br />travel and food,Thailand

งานเทศกาลร่มบ่อสร้างและหัตถกรรมสันกำแพง

ทักทายกันยามเย็น เริ่มแล้ว ๆ งานเทศกาลร่มบ่อสร้างและหัตถกรรมสันกำแพง วันที่ วันที่ 16 - 18 มกราคม 2552 นี้ค่ะ ณ บริเวณหมู่บ้านหัตถกรรมบ่อส...

Read more »

วี ที แหนมเนือง

<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjdtV5RB8gZaSdqlwazQqqCb7LtZdqcbv0BPL5oBEqpNEW-_u2T6bwtYA2d4NpO2-yzDcZudfu3eth06gOl1mPNspggnuHsP8g60GYRSZ39Zcf2K0Wgj-nrCM8jAl_-wnv25G7Tvex0ICXZ/s1600-h/logo_namneung.jpg"><img alt="" border="0" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5290977843265871698" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjdtV5RB8gZaSdqlwazQqqCb7LtZdqcbv0BPL5oBEqpNEW-_u2T6bwtYA2d4NpO2-yzDcZudfu3eth06gOl1mPNspggnuHsP8g60GYRSZ39Zcf2K0Wgj-nrCM8jAl_-wnv25G7Tvex0ICXZ/s320/logo_namneung.jpg" style="margin: 0pt 10px 10px 0pt; float: left; cursor: pointer; width: 155px; height: 120px;" /></a>อยู่เหนือก็ใช่ว่าจะมีเฉพาะอาหารเหนือเท่านั้นะคะวันนี้เราจะพาคุณ ๆ ไปเปิด ตำรับ อาหาร ฉบับนี้ 'ตะไคร้หอม' ชวนคนชอบ ชิมไปม่วนชื่นกันที่แถว ๆ สะพานนวรัฐ จะพาไปอิ่มอร่อยกับเมนูอาหารเวียดนาม ที่ได้ลิ้มรสแล้วเป็นต้องติดใจ เส้นทางที่จะไปร้านที่ว่าก็หาไม่ยากเลย จากสะพานนวรัฐ เข้าสู่ถนนเชียงใหม่-ลำพูน (ใกล้ ๆ โรงแรมศรีประกาศ,โรงเรียนเชียงใหม่คริสเตียน) ร้านตั้งอยู่ริมน้ำปิง จะมองเห็นตัวร้าน ซึ่งเป็นเรือนไม้สไตล์ไทยผสมโมเดิร์นรูปทรงสะดุดตา มองเห็นชื่อร้านตัวใหญ่ ๆ ติดอยู่บริเวณด้านหน้าว่า...วีที แหนมเนือง มาถูกที่แล้วละค่ะ<br /> อาหาร เวียดนามของวีที แหนมเนือง เป็นสูตรที่ทำสืบทอดกันมาตั้งแต่รุ่นคุณแม่ (ร้านแดง แหนมเนือง จังหวัดหนองคาย) ซึ่งสืบทอดวิชาการทำอาหารเวียดนามมาจากรุ่นคุณยาย และเปิดร้านขายกันมานมนานจนมาถึงรุ่นลูกนี่เป็นสาขา 2 นะคะ เพราะฉะนั้นไม่ผิดหวังแน่นอนสำหรับการแวะมาอร่อยกับอาหารเวียดนามในบรรยากาศ สวย โปร่ง โล่ง นั่งสบาย ที่สำคัญอาหารอร่อยและสะอาด เพราะเมื่อเดินเข้ามาในร้านจะเห็นส่วนที่เป็นครัว แบบเปิด เพื่อให้ลูกค้าได้มั่นใจว่าเข้ามาแล้วได้อิ่มอร่อยกับของสดและสะอาดแน่นอน<br /><a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEitib970ApcsFxC17_FHEn7WLnVnraKbC6UZ7ue362vK6PGGH_WqBP9aFrsxffvy3ezP1Otp_eUdA_qWuXRBry5uR7wsHRsnaDnUQlrcg089swelQlDdXsqQXV6HTiLeyjt664JAAGqwnG2/s1600-h/namneung2.gif"><img alt="" border="0" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5290979419522186066" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEitib970ApcsFxC17_FHEn7WLnVnraKbC6UZ7ue362vK6PGGH_WqBP9aFrsxffvy3ezP1Otp_eUdA_qWuXRBry5uR7wsHRsnaDnUQlrcg089swelQlDdXsqQXV6HTiLeyjt664JAAGqwnG2/s400/namneung2.gif" style="cursor: pointer; width: 400px; height: 400px;" /></a><br /><br /> สำหรับเมนูแนะนำก็จะมี หลากหลายความอร่อยกับเมนูอาหารเวียดนาม ไม่ว่าจะเป็นแหนมเนือง กุ้งพันอ้อย กระยอสด กระยอทอด<br />บั๋นฮ๋อย บั๋นแบ๋ว ขนมจีนทรงเครื่อง และอีกหลายเมนูให้คุณได้เลือกแถมยังมีน้ำจิ้มแหนมเนือง ตามแบบฉบับของวีทีแหนมเนือง รสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ของเค้าอีกด้วยค่ะ<br /><a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhcWSleOAQqnTQfsOsNMpHGn1NmWTOf7FjGgaqTfewhVCb_iY7EJvRO6AjfErwyToHuKF7cRHsaQ61qQWtrwXZngyQV_cCSwWC_xIPivJycuGE20W4CtLCpLn6mUYgIrDWhtXSEBMIT-83c/s1600-h/namneung3.gif"><img alt="" border="0" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5290979566858341058" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhcWSleOAQqnTQfsOsNMpHGn1NmWTOf7FjGgaqTfewhVCb_iY7EJvRO6AjfErwyToHuKF7cRHsaQ61qQWtrwXZngyQV_cCSwWC_xIPivJycuGE20W4CtLCpLn6mUYgIrDWhtXSEBMIT-83c/s400/namneung3.gif" style="cursor: pointer; width: 400px; height: 400px;" /></a><br /><br />แต่มีเมนูอาหารเวียดนามแล้วที่จะขาดไม่ได้คือผักสดนานาชนิด อาทิ ผักกาดหอม, ผักแพว, ใบสะระแหน่, ผักชีลาว, ชะมวง, โหระพา, ชะพลู ฯลฯ และยังมีผักตามฤดูกาลที่ทางร้านขนกันมาเป็นผักเครื่องเคียงเรียงจัดใส่จาน เสิร์ฟให้อร่อยสุขภาพดีกับผักสดกันอย่างจุใจ ส่วนบรรดาวัตถุดิบต่าง ๆ ที่เป็นส่วน ประกอบของอาหารเวียดนาม ไม่ว่าจะเป็น หมูยอ หมูแหนมเนือง ไส้กรอก แหนมซี่โครง ฯลฯ ก็ล้วนแต่เป็นของทางร้านทำเอง โดยผ่านกรรมวิธีที่สะอาด ทันสมัย และที่ขาดไม่ได้คือน้ำจิ้มสูตรเด็ดอีกหนึ่งของความสำคัญที่ช่วยชูรสให้อาหาร เวียดนามของที่นี่แตกต่างจากร้านอื่นอร่อยและมีประโยชน์ต่อสุขภาพขนาดนี้ถ้าพลาดก็คงเป็นที่น่าเสียดายมาก ๆ เลยใช่ไหมคะ<br /><a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhup8AK9tmRwNNouZrLbunaejvvgcu82qwLvMPw-3sGZ7bZL61gILckwpsz7xHG76FbrBqTvzH6sMwLgWwYq1J32U3AM6dhsT6G_1BUDXuaYahB8Z0dx2qH-Aw7zlgO2pM99UxGtPzYN41h/s1600-h/namneung1.gif"><img alt="" border="0" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5290979802633273186" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhup8AK9tmRwNNouZrLbunaejvvgcu82qwLvMPw-3sGZ7bZL61gILckwpsz7xHG76FbrBqTvzH6sMwLgWwYq1J32U3AM6dhsT6G_1BUDXuaYahB8Z0dx2qH-Aw7zlgO2pM99UxGtPzYN41h/s400/namneung1.gif" style="cursor: pointer; width: 400px; height: 400px;" /></a><br /> สำหรัยคุณที่สนใจ ร้านวีที แหนมเนือง เปิดบริการทุกวันตั้งแต่เวลา 08.30-21.30 น. ที่นี่ยังมีบริการห้องส่วนตัวให้จอง และสามารถสั่งซื้อเป็นกล่อง จะสั่งทานเองหรือสั่งเป็นของฝาก ก็ได้ ทางร้านมีบริการรับจัดส่งความอร่อยทั่วประเทศ สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0-5326-6780 และถ้าแวะมาอิ่มอร่อยด้วยตัวเอง เรื่องที่จอดรถมีกว้างขวางให้ลูกค้าได้จอดรถกันอย่างสะดวกสบาย<br /><br /><br /><br />อิ่มอร่อยกับร้าน : วีที แหนมเนือง<br />ถนนเชียงใหม่-ลำพูน อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่<br />โทร. 053-266111, 053-266780 - 2, 053-246433 - 5 FAX 053-266780<br /><br /><a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh__7435rfeWn73u8H1dZmoY2NuCkFG7Hmrqi5LMmwQo8sFxyTb2_VU-xmhyphenhyphenhhKV9RSU_AwzpS22oxbI9nNUP5kVRuJEtTyAHKrfCBO47JuM7J08FJb_UFlYhMeQcoc48ttv_Zq54ASmhPb/s1600-h/map_chengmai.jpg"><img alt="" border="0" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5290979970356610386" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh__7435rfeWn73u8H1dZmoY2NuCkFG7Hmrqi5LMmwQo8sFxyTb2_VU-xmhyphenhyphenhhKV9RSU_AwzpS22oxbI9nNUP5kVRuJEtTyAHKrfCBO47JuM7J08FJb_UFlYhMeQcoc48ttv_Zq54ASmhPb/s400/map_chengmai.jpg" style="cursor: pointer; width: 390px; height: 397px;" /></a><br /><br /><br />travel and food,Thailand

วี ที แหนมเนือง

อยู่เหนือก็ใช่ว่าจะมีเฉพาะอาหารเหนือเท่านั้นะคะวันนี้เราจะพาคุณ ๆ ไปเปิด ตำรับ อาหาร ฉบับนี้ 'ตะไคร้หอม' ชวนคนชอบ ชิมไปม่วนชื่นกันที...

Read more »

"น้ำตกห้วยแก้ว"ย้อนอดีตสายน้ำแห่งความทรงจำ

<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="http://www.chiangmainews.co.th/images/img/4014-2.jpg"><img alt="" border="0" src="http://www.chiangmainews.co.th/images/img/4014-2.jpg" style="margin: 0pt 10px 10px 0pt; float: left; cursor: pointer; width: 350px; height: 211px;" /></a>"...ในอดีตน้ำตกห้วยแก้วมีกระแสน้ำไหลแรงและใสมาก จนถึงกับใช้ดื่มกินได้ ปัจจุบันน้ำตกห้วยแก้วได้กลายเป็นตำนานของน้ำตกอันเลืองชื่อ สายน้ำใสที่รินไหลลัดเลาะจากขุนเขาไม่มีให้เห็นอีกแล้ว น้ำตกห้วยแก้วคงกลายเป็นตำนานและถูกลืมเลือนไปพร้อม ๆ กับชื่อของวังบัวบาน..."<br /> <br /> ชื่อเสียงและความงามของน้ำตกห้วยแก้วยังคงย้ำเตือนอยู่ในความทรงจำของผู้มา เยือนอยู่เสมอ แม้ว่ากาลเวลาแห่งความยิ่งใหญ่และสวยงามของน้ำตกแห่งนี้ที่เคยถูกขนานนามว่า เป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจที่ดีที่สุดของคนเชียงใหม่เมื่อราว 20 ปีก่อน จะจางหายไปจากความทรงจำมานานแล้ว ภาพของน้ำตกห้วยแก้วที่หลั่งไหลลงมาเพื่อมอบความชุ่มฉ่ำให้กับผู้คนดูเหมือน จะกลายเป็น "อดีต" ที่ยากแก่การย้อนกลับคืน<br /> <br /> ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว ไม่มีใครไม่รู้จักชื่อของน้ำตกห้วยแก้ว เพราะถ้าเดินทางมาเยือนเชียงใหม่แล้วไม่ได้มาเที่ยวชมความสวยงามของน้ำตก แห่งนี้ ก็ถือว่ายังมาไม่ถึงเชียงใหม่มีตำนานเล่าขานเกี่ยวกับน้ำตกแห่งนี้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นวังบัวบาน หรือสาวเครือฟ้า ที่ล้วนแล้วเกี่ยวข้องกับสายน้ำแห่งนี้ ว่ากันว่าก่อนที่จะเรียกว่า "วังบัวบาน" นั้นเคยเรียกว่า "วังกุลา" มาก่อน (กุลาเป็นคำที่คนเชียงใหม่ใช้เรียกชาวต่างชาติ แปลว่า แขกขาว) เพราะในสมัยก่อนจะมีชาวต่างชาติเข้ามาในเชียงใหม่และแวะไปเที่ยวที่น้ำตก ห้วยแก้ว ในตำนานเล่าไว้ว่ามีกุลาคนหนึ่งได้เข้ามาเที่ยวที่น้ำตกห้วยแก้วเมื่อเข้ามา แล้วเห็นน้ำตกใสมาก ก็นึกว่ามีแก้วอยู่ใต้น้ำ จึงได้พากันกระโดดลงไปเพื่องมเอาแก้วขึ้นมา แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีใครรอดขึ้นมาได้แม้แต่คนเดียวเพราะน้ำในบริเวณนั้น เชียวและลึกมาก จนมาในช่วงหลังมีครูประชาบาลคนหนึ่งชื่อว่า "บัวบาน" ได้ผิดหวังกับเรื่องความรักจึงได้ใช้สถานที่แห่งนี้ฆ่าตัวตาย ต่อมาชาวบ้านจึงพากันเรียกบริเวณนั้นว่า "วังบัวบาน" กระทั่งชื่อของวังบัวบานได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์และถูกกล่าวขานมากเมื่อได้มา เที่ยวที่น้ำตกห้วยแก้ว<br /><a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="http://img225.imageshack.us/img225/3326/dscn0214yq1.jpg"><img alt="" border="0" src="http://img225.imageshack.us/img225/3326/dscn0214yq1.jpg" style="cursor: pointer; width: 384px; height: 512px;" /></a><br /> <br /> ส่วนสาเหตุที่เรียกชื่อ "น้ำตกห้วยแก้ว" สันนิษฐานว่าน้ำในบริเวณนี้อาจจะใสเหมือนดั่งแก้ว จึงพากันเรียกชื่อของน้ำตกว่า "น้ำตกห้วยแก้ว"ต้นกำเนิดของน้ำตกห้วยแก้ว เกิดจากตาน้ำในป่าบนเทือกดอยสุเทพที่บริเวณบ้านขุนช่างเคี่ยน แล้วไหลลัดเลาะลงมาตามแนวเขา ผ่านน้ำตกมณฑาธาร ผ่านน้ำตกห้วยแก้ว จนถึงหมู่บ้านห้วยแก้วแล้วไหลลงไปรวมกับน้ำจากคลองชลประทาน<br /> <br /> ในอดีตน้ำตกห้วยแก้วมีกระแสน้ำไหลแรงและใสมาก จนถึงกับใช้ดื่มกินได้ ปัจจุบันน้ำตกห้วยแก้วได้กลายเป็นตำนานของน้ำตกอันเลืองชื่อ สายน้ำใสที่รินไหลลัดเลาะจากขุนเขาไม่มีให้เห็นอีกแล้ว น้ำตกห้วยแก้วคงกลายเป็นตำนานและถูกลืมเลือนไปพร้อม ๆ กับชื่อของวังบัวบาน<br /> <br /> วันนี้อดีตในยุครุ่งเรืองของน้ำตกห้วยแก้ว กำลังจะได้รับการพลิกฟื้นคืนชีพ เมื่อคณะสำรวจของเจ้าหน้าที่องค์การบริหารส่วนตำบลสุเทพนำโดยนายจรัญ คำซอน ผู้ใหญ่บ้านห้วยแก้ว เมื่อปี พ.ศ.2542 เพื่อสำรวจแนวของน้ำตกที่ไหลลงมานั้นพบว่า มีการกั้นเส้นทางของน้ำตกอยู่ถึง 4 แห่ง โดยฝายน้ำล้นแห่งแรกที่ปิดกั้นทางเดินของน้ำนำน้ำมาใช้กับโครงการประปาภูเขา ที่ใช้ครอบคลุมบริเวณหมู่บ้านห้วยแก้วทั้งหมด ฝายน้ำล้นแห่งที่ 2 และ 3 นำน้ำมาใช้กับวัดพระธาตุดอยสุเทพ ,อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย ,โรงเรียนศรีสังวาลย์และสถานีทวนสัญญาณโทรทัศน์ของ ทีวี 3,9,11 ส่วนฝายน้ำล้นแห่งที่ 4 นำน้ำตกมาใช้กับหมู่บ้านภูพิงค์ โดยทั้งหมดมีการวางท่อขนาดกว้าง 2 นิ้ว เพื่อดึงน้ำจากฝายมาเข้ามาใช้ ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้น้ำตกห้วยแก้วที่อยู่ด้านล่างของฝายต้องขาดแคลนน้ำ<br /> <br /> "..เมื่อหลายเดือนก่อนน้ำในน้ำตกที่มีอยู่ แห้งสนิทไม่มีน้ำแม้แต่น้อย พอถึงช่วงฤดูฝนก็จะมีเฉพาะน้ำที่ไหลเอือย ๆ เท่านั้น.." จากการพลิกฟื้นคืนอดีตของน้ำตกห้วยแก้วให้กลับมาได้รับความนิยมจากนักท่อง เที่ยวดังเช่นในอดีตที่ผ่านมานั้น ทางองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ ได้มีการปรับปรุงสภาพของน้ำตกห้วยแก้วโดยการใช้ระบบหมุนเวียนของน้ำ หรือ น้ำตกเทียม มีการปรับปรุงภูมิทัศน์สถานที่ด้วยการปลูกต้นไม้ สร้างอาคารที่พักและห้องน้ำบริการแก่นักท่องเที่ยว ทว่านักวิชาการหลายท่านลงความเห็นว่าน้ำตกห้วยแก้วได้สูญเสียความเป็น ธรรมชาติ และเป็นการเปล่าประโยชน์ที่ใช้เงินลงทุนไปมหาศาล โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จและ เปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าไปเที่ยวประมาณเดือนกันยายน 2545 เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เข้าไปพักผ่อนและรำลึกความหลังของน้ำตกห้วยแก้วใน อดีต การก่อสร้างดังกล่าวใช้งบประมาณมหาศาลถึง 40 ล้านบาท<br /> <br /> แม้ว่าการย้อนคืนสู่อดีตของน้ำตกห้วยแก้วในครั้งนี้จะไม่เหมือนจริงดังของ เดิมทุกประการ แต่อย่างน้อยก็ได้ปลุกจิตสำนึกให้ผู้คนจะได้มีลืมชื่อเสียงของน้ำตกห้วยแก้ว ที่เคยโด่งดังในอดีตเมื่อ 20 ปีที่ผ่านให้ได้รับความนิยมและมีคนเดินทางเข้าไปเที่ยวดั่งเช่นในอดีตอีก ครั้ง.<br /><br /><a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="http://iamdao.exteen.com/images/dcnx33.jpg"><img alt="" border="0" src="http://iamdao.exteen.com/images/dcnx33.jpg" style="cursor: pointer; width: 570px; height: 427px;" /></a><br /> จักรพงษ์ คำบุญเรือง<br /> jakrapong@chiangmainews.co.th<br /> <br /><br />travel and food,Thailand

"น้ำตกห้วยแก้ว"ย้อนอดีตสายน้ำแห่งความทรงจำ

"...ในอดีตน้ำตกห้วยแก้วมีกระแสน้ำไหลแรงและใสมาก จนถึงกับใช้ดื่มกินได้ ปัจจุบันน้ำตกห้วยแก้วได้กลายเป็นตำนานของน้ำตกอันเลืองชื่อ สายน้ำใ...

Read more »

วัดพระสิงห์เชียงใหม่

<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="http://www.chiangmainews.co.th/images/img/3879-2.jpg"><img alt="" border="0" src="http://www.chiangmainews.co.th/images/img/3879-2.jpg" style="margin: 0pt 0pt 10px 10px; float: right; cursor: pointer; width: 350px; height: 252px;" /></a>เมื่อเอ่ยชื่อวัดพระสิงห์วรมหาวิหารเชื่อแน่ว่านักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและ ต่างประเทศย่อมจะรู้จักและเคยได้เข้าไปนมัสการพระพุทธสิหิงค์หรือพระสิงห์ กันมาบ้างแล้ว โดยเฉพาะคนเชียงใหม่เองต่างเคารพศรัทธาพระพุทธสิหิงค์เป็นอย่างยิ่ง ดังจะเห็นได้ในทุกปีมีการอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ออกมาให้ประชาชนได้สรงน้ำกัน ในวันสงกรานต์หรือประเพณีปี๋ใหม่เมือง<br /> <br /> วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นเอกที่อยู่คู่เชียงใหม่มาทุกยุคสมัย ถือเป็นวัดเก่าแก่สำคัญวัดหนึ่งของเชียงใหม่มีประวัติการก่อสร้างยาวนานถึง 600 กว่าปี วัดนี้ในอดีตเคยเป็นวัดที่ตั้งอยู่กลางเมืองเชียงใหม่ ความเป็นมาที่เกี่ยวพันกับชื่อวัดพระสิงห์ที่สำคัญเห็นจะได้แก่<br /> <br /> เมื่อครั้งที่ท้าวมหาพรหม เจ้าเมืองเชียงรายไปได้พระพุทธสิหิงค์ หรือที่ชาวเชียงใหม่เรียกว่า "พระสิงห์" มาจากเมืองกำแพงเพชรและได้นำขึ้นมาถวายให้พระเจ้าแสนเมืองมา กษัตริย์เมืองเชียงใหม่นั้น พระองค์ได้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ลงเรือขึ้นมาตามแม่น้ำปิง เมื่อขบวนเรือมาถึงเชียงใหม่ เป็นเวลาค่ำแล้วจึงได้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ขึ้นจากเรือ แล้วนำไปประดิษฐานไว้บนบกที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งทางฝั่งตะวันออกแม่น้ำปิง<br /> <br /> ปรากฏว่าในคืนนั้นได้เกิดปรากฏการณ์อัศจรรย์ขึ้น โดยได้มีแสงสว่างลุกโชติช่วงขึ้นที่องค์พระพุทธสิหิงค์ แสงสว่างนี้เป็นลำยาวขึ้นไปบนท้องฟ้าพาดไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ผู้ที่พบเห็นต่างเชื่อว่า นี่เป็นอภินิหารของพระพุทธสิหิงค์ ต่างพากันมากราบไหว้ด้วยความศรัทธา จากนั้นจึงนำขึ้นประดิษฐานบนราชรถบุษบก ตั้งขบวนแห่แหนลากจากท่าน้ำวังสิงห์คำ เพื่อจะนำไปประดิษฐานที่วัดสวนดอก แต่พอขบวนลากราชรถมาถึงวัดลีเชียงพระ ราชรถก็หยุดเสียเฉย ๆ แม้ผู้คนจะช่วยกันลากอย่างไรก็ไม่ไป<br /> <br /> พระเจ้าแสนเมืองมา จึงได้อาราธนาอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์เข้าประดิษฐานไว้ในวิหารวัดลีเชียงพระ แล้วจัดให้มีการฉลองสมโภชขึ้น นับแต่นั้นมา พระพุทธสิหิงค์จึงได้ประดิษฐานอยู่ที่วัดลีเชียงพระ ผู้คนชาวเชียงใหม่จึงเรียกวัดนี้ใหม่ว่า วัดพระสิงห์ สมัยก่อนที่วัดนี้จะถูกเรียกว่าวัดพระสิงห์นั้น เดิมมีชื่อว่า วัดลีเชียงพระ เพราะตั้งอยู่ใกล้ตลาด ชาวบ้านเรียกตลาดที่อยู่กลางเวียงว่า "กาดลี" คำว่า "เชียง" ก็คือ เวียง หรือ เมือง ดังนั้นวัดที่ตั้งอยู่ใกล้ตลาดเมืองจึงเรียกว่า "วัดลีเชียงพระ" ซึ่งแปล ว่า "วัดตลาดเมือง" ครั้นเมื่อพระเจ้าแสนเมืองมา กษัตริย์เมืองเชียงใหม่ลำดับที่ 8 แห่งราชวงศ์มังรายได้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์จากเมืองเชียงรายมาประดิษฐานไว้ ที่วัดนี้ แล้วจึงเรียกชื่อว่า วัดพระสิงห์<br /> <br /> วัดพระสิงห์ ตั้งอยู่บริเวณกลางเมืองเชียงใหม่หันหน้าไปทางทิศตะวันออก ในบริเวณวัดมีโบราณสถานที่สำคัญและเก่าแก่ เช่น วิหารวัดพระสิงห์ เดิมสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้ากาวิโรรส ต่อมาเมื่อวิหารชำรุดทรุดโทรมลง ศรัทธาประชาชนจึงไปนิมนต์ครูบาศรีวิชัยมาบูรณะและสร้างใหม่หมดทั้งหลัง ซึ่งสร้างเป็นศิลปแบบล้านนาผสมเชียงแสน ความโดดเด่นของวิหารวัดพระสิงห์ก็คือความชันของหลังคาจะกลมกลืนกับตัวอาคาร ที่สร้างด้วยอิฐฉาบปูน ครึ่งอิฐครึ่งไม้มีฝากบ แผนผังของโบสถ์วิหารที่สร้างกันเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าธรรมดา โดยมากเป็นโรงใหญ่ไม่มีระเบียงล้อมรอบ ดังนั้นเสาภายนอกอาคารจึงไม่แสดงความสำคัญเหมือนโบสถ์วิหารในรุ่นต่อมา ประตูทางเข้ามักจะมีรูปปั้น มีซุ้ม ส่วนมากจะทำเป็นรูปพญานาค สิงห์ หรือนกยูง อันเป็นศิลปะของพุกาม<br /> <br /> วิหารลายคำในวัดพระสิงห์ สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าศิริธรรมจักรพรรดิ์ราช หรือพระเมืองแก้ว กษัตริย์ล้านนาไทย องค์ที่ 13 พระองค์ทรงเห็นว่าวัดพระสิงห์ชำรุดทรุดโทรมมาก จึงโปรดให้บูรณะวัดพระสิงห์ใหม่ แล้วสร้างวิหารลายคำเพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์ วิหารลายคำนี้มีลวดลายปูนปั้นที่สวยงามปราณีตบรรจงมากแสดงให้เห็นฝีมือของ ช่างในยุคนั้นว่าเจริญถึงที่สุด ตัววิหารลายคำสร้างตามแบบศิลปกรรมของภาคเหนือ มีรูปปั้นพญานาค 2 ตัวอยู่บันไดหน้า และใกล้ ๆ พญานาคมีรูปปั้นสิงห์ 2 ตัว บริเวณฝาผนังในวิหารลายคำมีภาพเขียนสีน้ำมันด้วยฝีมือของช่างสกุลล้านนา ด้านทิศเหนือเขียนเรื่องสุวรรณหอยสังข์ ด้านทิศใต้เขียนภาพสุวรรณหงส์ ภาพบางส่วนถูกน้ำฝนและความชื้นทำให้ลบเลือนไป ปัจจุบันกรมศิลปากรได้เข้ามาบูรณะตัววิหารลายคำให้มั่นคงแข็งแรง ภายในวิหารยังเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธสิหิงค์ พระพุทธรูปปางมารวิชัยขัดสมาธิเพชร หน้าตักกว้างประมาณ ศอกเศษ พระพุทธสิหิงค์ที่ประดิษฐานอยู่ในวัดพระสิงห์นี้เป็น 1 ใน 3 ของพระพุทธสิหิงค์ในเมืองไทย เป็นพระพุทธรูปที่มีลักษณะสวยงาม พระองค์อวบอ้วน พระอุระนูน ชายสังฆาฏิสั้นขาดเหนือถัน นิ้วพระหัตถ์ทั้งสี่ไม่เสมอกัน วงพักตร์สั้นกลม ขนงโกง พระนาสิกงุ้ม พระโอษฐ์เล็ก พระหนุเป็นปม เส้นพระศกใหญ่ไม่มีไรพระศกเป็นขอบ ตอนต่อกับวงพระพักตร์ พระเมาลีเป็นต่อมคล้ายดอกบัวตูม ฐานเป็นบัวหงายมีกลีบน้อยแซมตอนชั้นบนและมีเกสร เป็นลักษณะของพระพุทธรูปสมัยเชียงแสนรุ่นเก่า ทุกปีเมื่อถึงช่วงเทศกาลสงกรานต์หรืองานประเพณีปี๋ใหม่เมือง ทางราชการจึงได้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ขึ้นประดิษฐานบนรถบุษบกแห่ไปรอบเมือง เพื่อให้ศรัทธาประชาชนได้พากันมาสรงน้ำเนื่องในเทศกาลปีใหม่<br /> <br /> วัดพระสิงห์ นอกจากจะมีประวัติการก่อสร้างมายาวนานจนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระอาราม หลวงชั้นเอกแล้วนั้น วัดพระสิงห์ยังเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวเชียงใหม่ที่ให้ความศรัทธาและจะเดิน ทางมาเคารพสักการะกันอย่างเนื่องแน่นเป็นประจำ ดังนั้นโบราณสถานโบราณวัตถุและศิลปกรรมต่าง ๆ ที่อยู่ในวัดนี้จึงมีคุณค่ายิ่งต่อจิตใจของชาวเชียงใหม่อย่างแยกจากกันไม่ ออก<br /> <br /><br /> จักรพงษ์ คำบุญเรือง<br /> jakrapong@chiangmainews.co.th.<br /> 9/1/52<br /><br />travel and food,Thailand

วัดพระสิงห์เชียงใหม่

เมื่อเอ่ยชื่อวัดพระสิงห์วรมหาวิหารเชื่อแน่ว่านักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและ ต่างประเทศย่อมจะรู้จักและเคยได้เข้าไปนมัสการพระพุทธสิหิงค์หรือพระสิง...

Read more »

ชิมบุฟเฟต์นานาชาติที่โรงแรมเชียงใหม่แกรนด์ วิว

<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="http://www.chiangmainews.co.th/images/img/2767-2.jpg"><img alt="" border="0" src="http://www.chiangmainews.co.th/images/img/2767-2.jpg" style="margin: 0pt 10px 10px 0pt; float: left; cursor: pointer; width: 350px; height: 233px;" /></a>บุฟเฟ่ต์นานาชาติเราได้ให้บริการนั้นจะเน้นมาในเรื่องขอบความหลากหลายให้ ลูกค้าได้เลือกทานมากกว่า 30 อย่าง แม่รำเพย ป้าอบเชยได้แวะไปใช้บริการมาแล้วจึงยากบอกต่อโดยเฉพาะมุ่งเมนูอาหารสลัดที่ ต้องของบอกว่าผักสลัดของเขาสดมากๆที่สำคัญมีน้ำสลัดให้เลือกทานหลากหลาย -----<br /> <br /> แม่รำเพย ป้าอบเชยได้พาทุกท่านไปทานอาหารเรียกได้ว่าทั่วเมืองเชียงใหม่มาแล้ว แต่วันนี้ขอปรับเปลี่ยนบรรยากาศอีกครั้งโดยจะพาทุกท่านไปชิมอาหารบุฟเฟ่ต์ นานาชาติกันบ้างที่โรงแรมเชียงใหม่แกรนด์ วิวที่ราคายังพอสู้ไหวในยุคปัจจุบัน ที่สำคัญคุ้มค่ามากเพราะมีทั้ง อาหารญี่ปุ่น อาหารจีน อาหารฝรั่ง หรืออาหารไทยรสชาติภัตราคาร ราคาเพียบ 120++ และอาหาร สไตล์ชาบู ชาบู (มื้อเย็น) ให้ได้ทานตามใจชอบ เพียง 299 /ท่าน พร้อมข้าว ผลไม้หรือไอศครีม<br /> <br /> ก่อนอื่นต้องขอแนะนำให้รู้จักกับทีมผู้บริหารก่อนนำโดยธนก ฤต เหล่าพานิช กรรมการผู้จัดการ ณัฐวุฒิ ศรีษะโคตร ผู้จัดการห้องอาหาร และน้องผึ้ง ประชาสัมพันธ์รุ่นใหม่ไฟแรงของได้ให้ข้อมูลว่าที่โรงแรมเชียงใหม่แกรนด์ วิว มีห้องอาหารที่ขึ้นชื่อคือห้องอาหารช้างเผือกเป็นห้องอาหารที่ได้ออกแบบ สไตล์ยุโรปในบรรยากาศสบายๆ หลากหลายมุมที่ลูกค้าสามารถเลือกนั่งทานอาหารได้ ซึ่งห้องอาหารช้างเผือกเปิดให้บริการอาหารกลางวันแบบบุฟเฟ่ต์นานาชาติในราคา เพียง 120++ บาทสุทธิต่อท่านเปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 11.30-14.00 น.ทุกวัน และยังมี ชาบุ สไตล์ญี่ปุ่น สูตรต้นตำรับราคาเพียบ 299 บาทต่อท่าน เปิดเวลา 17.00-22.00 น.ทุกวัน<br /> <br /> สำหรับอาหารบุฟเฟ่ต์นานาชาติเราได้ให้บริการนั้นจะเน้นมาใน เรื่องขอบความหลากหลายให้ลูกค้าได้เลือกทานมากกว่า 30 อย่าง แม่รำเพย ป้าอบเชยได้แวะไปใช้บริการมาแล้วจึงยากบอกต่อโดยเฉพาะมุ่งเมนูอาหารสลัดที่ ต้องของบอกว่าผักสลัดของเขาสดมากๆที่สำคัญมีน้ำสลัดให้เลือกทานหลากหลายน้ำ สลัดมากทั้งน้ำสลัดมายองเนส ,ซ้อดฟอร์ด ,เฟรสซ์ ,น้ำสลัดออยวินนะเกรท ,น้ำสลัดบราซิล และน้ำสลัดอิตาเลียน ที่ต้องขอบอกว่าใครชอบสไตล์ไหนก็เลือกน้ำสลัดราดได้ตามความชอบจ้า<br /> <br /> ที่มุมเมนูอาหารไทยก็ต้องขอบอกว่าถูกปากคนไทยบ้านเราเป็นแน่น มีให้เลือกทานทั้ง ปลาหมึกผัดพริกเผา เต้าหู้ทรงเครื่องใส่หมูสับ แกงเขียวหวานลูกชินปลา เป็น ต้นแต่ต้องขอบอกย้ำว่าเมนูอาหารไทยจะสับเปลี่ยนในแต่ละวันไม่ซ้ำกันแต่รส ชาติกล้ารับประกันความอร่อยจ้า ฝากย้ำนอกจากอาหารไทยแล้วยังมีอาหารพื้นเมืองได้ได้ทานเช่น จอผักกาดซี่โครงหมู น้ำพริกอ่อน เป็นต้น<br /> <br /> ส่วนอาหารสไตล์ฝรั่งก็จะมี เมนูที่ขึ้นชื่อ มันฝรังทอด มะเขือม่วงซอสมะเขือเทศอบชีส ไก่ราดซอสส้ม ปลาราดซอสแม็กซิกัน ข้าวผัดไส้กรอกไก่ ปลาเจี๋ยนน้ำแดง เป็นต้น หรือท่านที่จะทานอาหารญี่ปุ่นก็จะมีขาวปั๋น นานาชนิดให้ได้เลือกทาน รวมทั้งปลาดิบที่สั่งตรงมาจากแหล่งผลิต กล้ารับประกันความสดจ้า<br /> <br /> เมนูที่เรียกได้ว่าให้มีให้ทุกท่านได้ทานทุกวันก็คงต้องยกให้ เมนูประเภทเส้น โดยเฉพาะก๋วยเตี๋ยวจะมีให้ทานทุกวันความอร่อยของก๋วยเตี๋วยแม่รำเพย ป้าอบเชยว่าความอร่อยอยู่ที่น้ำซุป ต้องบอกว่าน้ำซุปของเขาอร่อยยิ่งถ้านำมาใส่ลงในเส้นก๋วยเตี๋ยวปรุงเครื่อง เล็กน้อยอร่อยสุดยอกจึงยากแนะนำจ้า<br /> <br /> มาถึงเมนูขนมหวานซึ่งแม่รำเพย ป้าอบเชยชื่นชอบเป็นพิเศษเพราะว่าอร่อยมากๆ โดยเฉพาะของหวานที่มีชื่อว่า CREPE SAZETTE WITH ICE-CREAM ทางเซฟจะทำโชว์ให้ลูกค้าได้เห็นกันอร่อยม๊ากๆ หรือจะเลือกทานเป็นเค้ก ทานขนมไทยทางห้องอาหารเขาก็จัดให้ เรียกว่ามีให้เลือกทานไม่ต่ำกว่า 10 อย่าง หรือจะตบท้ายด้วย ผลไม้หรือว่ากาแฟก็ได้ทางโรงแรมเขายินดีให้บริการจ้า<br /> <br /> ทุกเมนูทางห้องอาหารเขากล้า รับประกันรสชาติความอร่อยและสะอาด เหมาะที่จะมาทานเป็นมื้อกลางวันแบบเต็มอิ่ม ใครที่ชอบแบบบุฟเฟ่ต์ (Buffet)นานาชาติ และมีเวลามากพอ ก็มาทานเต็มเวลาได้ก็ดี สำหรับท่านที่มาเป็นกลุ่มทางห้องอาหารเขาก็ยินดีต้อนรับแต่เพื่อความสะดวกก็ สามารถแจ้งข้อมูลการจองโต๊ะได้ที่ 0-5322-0100-9 ต่อห้องอาหารได้จ้า.<br /><br />ข้อมูลจาก : เชียงใหม่นิวส์<br /><br /><br /><br />travel and food,Thailand

ชิมบุฟเฟต์นานาชาติที่โรงแรมเชียงใหม่แกรนด์ วิว

บุฟเฟ่ต์นานาชาติเราได้ให้บริการนั้นจะเน้นมาในเรื่องขอบความหลากหลายให้ ลูกค้าได้เลือกทานมากกว่า 30 อย่าง แม่รำเพย ป้าอบเชยได้แวะไปใช้บริการมา...

Read more »

"น้ำหนัง" ภูมิปัญญาการกินของคนล้านนา

<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="http://www.chiangmainews.co.th/images/img/3387-2.jpg"><img alt="" border="0" src="http://www.chiangmainews.co.th/images/img/3387-2.jpg" style="margin: 0pt 0pt 10px 10px; float: right; cursor: pointer; width: 350px; height: 263px;" /></a>น้ำหนังควาย หรือที่คนล้านนาเรียกสั้น ๆ ว่า "น้ำหนัง" เป็นอาหารที่นิยมทำเพื่อบริโภคเป็นของกินควบคู่กับข้าวเหนียว แกงพื้นเมือง น้ำพริก ผัก และยำต่าง ๆ เหตุที่ชาวบ้านเรียกว่า น้ำหนัง เพราะเป็น อาหารเลิศรส และมีประวัติความเป็นมาที่ยาวนาน<br /> <br /> น้ำหนัง เป็นผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นที่สุดของชุมชนห้วยไซ แต่ปัญหาในปัจจุบันก็คือ ไม่มีวัตถุดิบในการผลิต เพราะควายน้อยลงคนนิยมหันไปใช้ควายเหล็ก และที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ใคร จะเป็นคนผลิต เพราะทุกวันนี้มีผู้ทำอยู่คือ ป้าบัวยอน อินตายวง บ้านห้วยไซ ปัจจุบันอายุ 65 ปี มีบุตร 2 คนกับนายประมวล อินตายวง อายุ 65 ปี เป็นหญิงหนึ่งคนชื่อ นางผ่องพูน อายุ 43ปี ชายหนึ่งคนชื่อนายจำเริญ อายุ 41 ปี นั่นหมายถึงว่าชุมชนบ้านห้วยไซ ขาดการส่งต่อถูมิปัญญาการทำน้ำหนังควายแก่ลูกแก่หลานมาเนิ่นนานเช่นกัน ซึ่ง ป้าบัวยอนนั้นก่อนจะมาทำน้ำหนังมี อาชีพทำนา ค้าขาย ยาสูบ แต่พออายุมากขึ้นจึงคิดเริ่มทำน้ำหนังตอนประมาณอายุ 40 กว่าปี ตอนนี้ก็เกือบยี่สิบปีแล้วที่ป้าบัวยอนได้เรียนรู้วิธีการทำน้ำหนังโดยดูจาก การทำของป้าจันทร์ทา ปาลี ซึ่งอาศัยอยู่ข้างบ้านที่เริ่มทำมาก่อนและนำมาหัดทำเอง ตอนแรกป้าบัวยอนได้ลองทำกินเองก่อน สมัยนั้นใช้ทำกับใบตองแทนการใช้พลาสติก แต่ตอนนี้เลิกทำกันหมดแล้วเหลือแต่เพียงของ ป้าบัวยอนที่ยังคงทำและส่งต่อให้กับลูกหลานที่จะสืบทอด<br /> <br /> การทำน้ำหนังมีขั้นตอนและวิธีการทำ โดยในขั้นตอนแรกต้องนำหนังควายมาตัดเป็นแผ่นเอาไปใส่หม้อต้ม ต้มจนเปื่อยนำมาขูดเอาขนบนแผ่นหนังออกให้หมด แล้วนำแผ่นหนังไปเผาไฟจนไหม้และนำมาแช่น้ำ จากนั้นขูดเอาส่วนที่ไหม้ก่อนนำไปต้มอีกครั้งจนหนังละลายเป็นน้ำข้น ๆ นำมากรองด้วยกระชอนถ้ายังไม่ละเอียดนำมาบดด้วยเครื่องบดหรือตำให้ละเอียด นำน้ำหนังข้นไปราดบนแผ่นพลาสติกด้วยทัพพีตักเทลงเกลี่ยให้เป็นแผ่นวงกลมบาง ๆ นำไปผึ่งให้แห้งสนิทใช้เวลาผึ่งประมาณสองวัน แล้วจึงลอกแผ่นน้ำหนังเก็บมัดปากถุงพลาสติกให้มิดชิด จะรักษาน้ำหนังดิบได้เป็นระยะเวลานาน ถ้าเวลาจะนำมารับประทานให้นำแผ่นน้ำ หนังมาใส่เกลือแกงผสมเล็กน้อยแล้วผิงไฟอ่อน รอให้น้ำหนังพองตัว แผ่ขยายจนมีสีเหลือง น้ำหนังจะมีรสเค็มเล็กน้อย เวลาเคี้ยว มีเสียงกรุบกรอบ<br /> <br /> ปัจจุบันการทำน้ำหนังก็ยังมีวิธีการและขั้นตอนเหมือนในอดีต แต่จะหาหนังควายยากขึ้นทุกวันซึ่งแต่ก่อนจะหาได้ในหมู่บ้าน แต่เดี๋ยวนี้ต้องสั่งซื้อจากข้างนอกหรือไปซื้อจากสารภีกิโลกรัมละ 33 บาท โดยเขาจะนำมาส่งให้แต่ก็ไม่มีทุกวันจะรับทำวันละ 50 กว่ากิโลกรัมได้ปริมาณประมาณ 3,000 กว่าแผ่น แต่ก่อนจะทำไม่มากขนาดนี้เพราะมีหม้อขนาดเล็กตอนนี้เปลี่ยนเป็นใช้หม้อขนาด ใหญ่ ราคาการขายในอดีตกับปัจจุบันจะแตกต่างกันโดยแต่ก่อนจะขาย 5 แผ่น 4 บาท แต่ในปัจจุบันขาย 4 แผ่น 4 บาท ในส่วนคนอื่นจะขายแผ่นละเกือบสองบาท และการใช้หนังควายนั้นต้องใช้หนังควายตัวผู้ หนังควายตัวเมียจะใช้ไม่ได้เนื่องจากหนังตัวเมียไม่มียาง ตัวผู้หนังจะมียางมากกว่า โดยป้าบัวยอนจะนำไปขายที่กาดห้วยไซ บางทีก็มีคนมาสั่งไว้ มารับเอาไปเองบ้าง ไปส่งให้บ้านยู้บ้าง ป้าบัวยอนบอกว่าในปัจจุบันขายได้ดีกว่าในอดีตอาจเป็นเพราะมีคนรู้จักมากขึ้น เวลาป้าบัวยอนไปขายกาดตอนเย็นจะมีละอ่อนโรงเรียนมาซื้อกันไปกินมากขึ้นเวลา เลิกเรียนแต่เดียวนี้ไม่ค่อยได้ขายกาดเย็นเพราะน้ำหนังควายมันขาดไม่มีขาย หน้าแล้งจะขายได้ดีกว่าหน้าฝนซึ่งจะลำบากมากในการตากน้ำหนังให้แห้ง<br /> <br /> นั่นคือ ภูมิปัญญา การทำน้ำหนังควายของคนเฒ่าคนแก่ในสมัยก่อน เป็นความสามารถเฉพาะตัวที่ต้องใช้เวลาฝึกฝน เนื่องจากมีขั้นตอนและรายละเอียดมาก ไม่ว่าจะเป็นการหัดราดน้ำหนังให้มีแผ่นบาง ๆ เพื่อให้มีความบางพอ น้ำหนังจึงจะเก็บรักษาไว้ได้นาน อันถือว่าเป็นการถนอมอาหารจากหนังควายก็ว่าได้ การทำน้ำหนังนั้นจึงต้องอาศัยความชำนาญ ความอดทน และความอุตสาหะอย่างมาก กว่าจะได้น้ำหนังต้องใช้เวลานานหลายวัน<br /><br /> จักรพงษ์ คำบุญเรือง<br /> jakrapong@chiangmainews.co.th<br /> 19/12/51<br /><br />travel and food,Thailand

"น้ำหนัง" ภูมิปัญญาการกินของคนล้านนา

น้ำหนังควาย หรือที่คนล้านนาเรียกสั้น ๆ ว่า "น้ำหนัง" เป็นอาหารที่นิยมทำเพื่อบริโภคเป็นของกินควบคู่กับข้าวเหนียว แกงพื้นเมือง น้ำพร...

Read more »

อร่อยกับ ... ก๋วยเตี๋ยวต้มยำสุโขทัย

<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="http://www.chiangmainews.co.th/images/img/3608-2.jpg"><img alt="" border="0" src="http://www.chiangmainews.co.th/images/img/3608-2.jpg" style="margin: 0pt 10px 10px 0pt; float: left; cursor: pointer; width: 350px; height: 233px;" /></a>"บรรจงหยิบขึ้นมาแล้วจัดการเลาะกันด้วยฟันจะได้อารมณ์กว่าการใช้ช้อนเขี่ย เนื้อให้หลุดล่อนออกจากกระดูกมากๆ เพราะเวลาที่เรายกมากัดนั้นในเนื้อซี่โครงจะมีกระดูกอ่อนอยู่ข้างในกินกรุบๆ เพิ่มอรรถรสในการดื่มด่ำเข้ากับน้ำซุปรสชาติกลมกลมหอมกลิ่นกระดูกจางๆ อีกด้วยค่ะ"<br /><br /> สวัสดีปีฉลู...กับคุณผู้อ่านทุกท่านด้วยนะคะ ผ่านไปแล้วอีกหนึ่งปี ปีใหม่นี้ก็ขอให้สิ่งดีๆ บังเกิดขึ้นกับคุณผู้อ่านที่เป็นแฟนคอลัมภ์เชียงใหม่นิวส์วาไรตี้ทุกท่านเลย นะคะ สิ่งใดที่ไม่ดีก็ปล่อยผ่านไปแล้วกลับมาเริ่มต้นใหม่ ทำใหม่ มุ่งมั่นใหม่ แม่รำเพยกับป้าอบเชยเชื่อว่าสิ่งดีๆ ต้องมีแน่นอน อย่างวันนี้แม่รำเพยกับป้าอบเชยก็ยังคงมีรายการดีๆ มาแนะนำคุณผู้อ่านกันเช่นเคยเป็นประจำไม่ได้ขาด ทุกๆ วันเสาร์ เราก็จะเจอะเจอกันที่นี่<br /> <br /> ด้วยเห็นว่าช่วงนี้สภาพอากาศยังคงสัมผัสได้ถึงความหนาวเย็นแม่รำเพย กับป้าอบเชยเลยเลือกเมนูอุ่นๆ ร้อนๆ มาให้คุณผู้อ่านได้ซดแก้หนาวกันในราคาไม่แพงกันเสียหน่อยกับของขึ้นชื่อที่ ต้องบอกว่าใครที่ชอบทานก๋วยเตี๋ยวอยู่แล้วเนี่ยะ ต้องพลาดกันไม่ได้เลย กับเมนูของ "ก๋วยเตี๋ยวสุโขทัย" ที่มีเอกลักษณ์อยู่ตรงถั่วฝักยาว และ รสชาติที่จัดจ้านเข้มข้นถึงใจนี่แหล่ะค่ะ<br /> <br /> วันนี้แม่รำเพยกับป้าอบเชยได้มีโอกาสแวะไปกันที่ร้าน "ก๋วยเตี๋ยวต้มยำสุโขทัย" ซึ่งตั้งอยุ่ บนถนนช้างคลานในซอยติดกับสีสวนพลาซ่า ตรงเข้ามาไม่ใกล้ๆ ไม่ไกลเท่าไหร่ค่ะ ก็จะเห็นร้านอยู่ทางฝั่งซ้ายมือ ดูโปร่งตาและร่มรื่นไปในตัวก็เรียกว่านั่งกันได้สบายๆ นั่นแหล่ะค่ะส่วนสูตรของที่นี่นั้นถ้าใครที่เคยไปทาน "ร้านแม่จำปาก๋วยเตี๋ยวต้มยำสุโขทัย" ที่อยู่ทางด้านหลังเทคโนโลยีเอเชีย ที่อยู่ติดกับถนนสายเอเชียก่อนที่จะเข้าเมืองเชียงใหม่มาก่อนคงจะคุ้นเคย เป็นอย่างดี เพราะที่นี่สูตรเดียวกันทั้งในเรื่องของน้ำซุป หรือเครื่องเครา เรียกว่ารสชาติไม่ผิดเพี้ยนกันเลยทีเดียว<br /> <br /> เป็นเวลากว่า 5 ปีแล้วด้วยเช่นกันที่ร้านนี้เค้าเปิดให้บริการกันซึ่งเมนูที่มีให้นั้นก็ เรียงรายสารพัดสารพันความชอบไม่ว่าจะเป็น ต้มยำกระดูกอ่อน ต้มยำน้ำพริกเผา ผัดไทย - ผัดซิอิ้ว ต้มยำรวม ต้มแซ่บกระดูกอ่อน ราดหน้า ผัดกระเพรา หมูน้ำตก ก๋วยเตี๋ยวขาหมู หมูกระเทียมพริกไทย ซุปซี่โครง ข้าวขาหมู ข้าวผัดหมู ฯลฯ<br /> <br /> แล้วแต่ว่าคุณผู้อ่านอยากสั่งอะไรก็เต็มที่เลยแล้วกันนะคะ อย่างวันนี้แม่รำเพยกับป้าอบเชยเองก็ลองสั่งทั้งข้าวขาหมู แล ก๋วยเตี๋ยวต้มยำ รวมไปจนถึง ซุปซี่โครงมาลองซดแก้หนาวกันด้วย อย่างในส่วนของก๋วยเตี๋ยวต้มยำนั้นเลือกเป็นเส้นเล็กต้มยำในสไตล์สุโขทัยมา ทานกันแต่ไม่ได้ใส่ถั่วฝักยาวหรือว่าถั่วแขกเหมือนอย่างที่จังหวัดสุโขทัย ใส่กันนะคะ แต่ใส่ถั่วงอกลงไปเหมือนกับก๋วยเตี๋ยวปกติทั่วไป ซึ่งโดยปกติแล้วนั้นก๋วยเตี๋ยวแบบสุโขทัยเลยจะมีรสชาติค่อนมาทางหวานนิดๆ แต่จะมีมะนาวฝานมาในขนาดกำลังเหมาะไว้บีบเพิ่มรสชาติซึ่งทำให้รสชาติที่ได้ ออกมากลมกล่อมพอดี ซึ่งที่นี่เองก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน รสชาติอร่อย เส้นก็ลวกได้เหนียวนุ่มกำลังดี<br /> <br /> สิ่งที่ต้องชมเป็นอย่างมากและประทับใจแม่รำเพยกับป้าอบเชยกันสุดเลย ก็คือเจ้าตัวกระดูกหมูและซี่โครงหมูที่นำมาต้มมาตุ๋นนั้นช่างเปื่อยยุ่ยได้ ถูกใจแถมมีกลิ่นหอมหวลชวนรับประทานเสียนี่กระไรเวลารับประทานอาจต้องใช้ตัว ช่วยเป็นมือน้อยมือใหญ่แล้วแต่ขนาดของตัวคุณผู้ฟังเองนั่นแหล่ะบรรจงหยิบ ขึ้นมาแล้วจัดการเลาะกันด้วยฟันจะได้อารมณ์กว่าการใช้ช้อนเขี่ยเนื้อให้หลุด ล่อนออกจากกระดูกมากๆ เพราะเวลาที่เรายกมากัดนั้นในเนื้อซี่โครงจะมีกระดูกอ่อนอยู่ข้างในกินกรุบๆ เพิ่มอรรถรสในการดื่มด่ำเข้ากับน้ำซุปรสชาติกลมกลมหอมกลิ่นกระดูกจางๆ อีกด้วยค่ะ<br /> <br /> แถมระยะเวลาในการรอนั้นก็ไม่นานเพราะที่นี่เน้นหนักไปทาง เรื่องบริการเร็ว รสชาติอร่อยเรียกว่าสั่งปุ๊บรอซักแป๊บก็มาให้คุณผู้อ่านได้ทานกันแล้ว แถมบริเวณด้านหน้ายังมีเครื่องดื่มให้คุณผู้อ่านได้เลือกกันด้วยทั้งน้ำ ตะไคร้ ที่กลิ่มหอมดื่มแล้วสดชื่นชุ่มคอ หรือ จะเป็นในส่วนของกาแฟสด ก็น่าสนใจดีไม่แพ้กัน ซึ่งใครที่อยากจะแวะไปลิ้มลองก็เชิญกันได้ทุกวันค่ะ ตั้งแต่ 08.00 - 17.30 น. กับที่นี่ "ก๋วยเตี๋ยวต้มยำสุโขทัย" บนถนนช้างคลาน ในซอยติดกับสีสวนพลาซ่า สนนราคานั้นก็อยู่ที่ 25 - 30 บาท เท่านั้นเองค่ะ<br /><br />ข้อมูลจาก : เชียงใหม่นิวส์<br /><br />เชียงใหม่ ท่องเที่ยว ร้านอาหาร ประเทศไทย<br /><br />travel and food,Thailand

อร่อยกับ ... ก๋วยเตี๋ยวต้มยำสุโขทัย

"บรรจงหยิบขึ้นมาแล้วจัดการเลาะกันด้วยฟันจะได้อารมณ์กว่าการใช้ช้อนเขี่ย เนื้อให้หลุดล่อนออกจากกระดูกมากๆ เพราะเวลาที่เรายกมากัดนั้นในเนื...

Read more »

SEE RIVER บรรยากาศโรแมนติค อิ่มอร่อยริมน้ำปิง

<img border="0" height="150" hspace="0" src="http://www.lannathai-news.com/images/stories/102_12/cherry%205.jpg" width="200" /> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: justify;"><span style="font-size: 10pt; font-family: Tahoma;" lang="TH">ช่วงนี้ต้องบอกว่าอากาศที่เชียงใหม่ <b>หนาว......ววววววว มาก </b>เจ้า ค่ะ โดยเฉพาะเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาในช่วงวันหยุดยาวติดต่อกันหลายวัน มีผู้คนแห่มาเที่ยวเชียงใหม่กันเยอะมาก เพราะมีกิจกรรมที่จัดขึ้นมากมายหลายงาน ทั้ง <b>งานราชพฤกษ์รวมใจฯ</b> ที่พืชสวนโลก เปิดให้เข้าชมฟรี งาน </span><b><span style="font-size: 10pt; font-family: Tahoma;">Nap <span lang="TH">ที่นิมนานเหมินทร์</span></span></b><span style="font-size: 10pt; font-family: Tahoma;" lang="TH"> รวมไปถึงงาน </span><b><span style="font-size: 10pt; font-family: Tahoma;">Bike Week</span></b><span style="font-size: 10pt; font-family: Tahoma;"> <span lang="TH">ที่ คนรักรถมอเตอร์ไซค์ทั้งชาวไทยและต่างชาติมาชุมนุมกันมากเลยเจ้าค่ะ และที่อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ผู้คนแห่ไปกางเต้นท์นอนสัมผัสอากาศหนาว ถึงขนาดลบ 1 องศา กันหลายพันคน <b>ก็ถือว่าเป็นสีสันของเมืองที่มีกิจกรรมดีๆ และสัมผัสอากาศดี</b> หลังจากที่ตึงเครียดเรื่องของการบ้านการเมืองที่แตกแยกกันมาระยะหนึ่งแล้ว ก็ดีค่ะ<b>โดยเฉพาะคนค้าขายจะได้ลืมตาอ้าปากได้สะดวกขึ้น</b> เพราะเขาบอกว่ามีเงินสะพัดในพื้นที่กว่า 400 ล้านบาทเจ้าค่ะ <table style="width: 200px;" align="right" border="0" cellpadding="1" cellspacing="1"><tbody><tr><td><img border="0" height="150" hspace="0" src="http://www.lannathai-news.com/images/stories/102_12/cherry%208.jpg" width="200" /></td></tr></tbody></table></span></span></p><p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: justify;"><span style="font-size: 10pt; font-family: Tahoma;" lang="TH"><span style=""> </span>ที่เชียงใหม่นี่มีเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งคือมี <b>แม่น้ำปิงไหลผ่านตัวเมือง</b> ทำให้ทัศนียภาพสวยงาม น่ามอง ร้านอาหารหลายๆร้านจึงผุดขึ้นริมแม่น้ำจำนวนมากค่ะ วันนี้ก็จะพาแฟนคอลัมน์ </span><b><span style="font-size: 10pt; font-family: Tahoma;">“<span lang="TH">ป้าเชอรี่พาชิม</span>”</span></b><span style="font-size: 10pt; font-family: Tahoma;" lang="TH"> ไปลองลิ้มชิมรสอาหารที่ร้าน <b>ซี ริเวอร์ (</b></span><b><span style="font-size: 10pt; font-family: Tahoma;">See River<span lang="TH">)</span></span></b><span style="font-size: 10pt; font-family: Tahoma;" lang="TH"> ซึ่งอยู่ติดกับริมแม่น้ำปิง อยู่แถวๆ <table style="width: 200px;" align="left" border="0" cellpadding="1" cellspacing="1"><tbody><tr><td><img border="0" height="150" hspace="0" src="http://www.lannathai-news.com/images/stories/102_12/cherry%202.jpg" width="200" /></td></tr></tbody></table>ถนน ช้างคลานที่จะออกไปทางป่าแดด ตรงหัวโค้งพอดิบพอดี (ติดกับโรงแรมระติล้านนา) ร้านนี้เดิมเคยเปิดเป็นร้านอาหารนี่แหละเจ้าค่ะ รู้สึกจะชื่อ ร้านเดอะปิง แต่ปิดกิจการไปแล้ว <span style=""> </span>ปัจจุบันก็มาเป็นร้าน ซี ริเวอร์ เจ้าค่ะ เปิดมาได้สักระยะหนึ่งแล้วประมาณ 3-4 เดือน <b>แต่ได้ข่าวว่าอาหารที่นี่อร่อย บรรยากาศก็ดี </b>ทั้ง แบบนั่งทอดสายตาติดริมแม่น้ำปิง ริมสวนสวย หรือจะเป็นบรรยากาศด้านใน ที่โอเพนแอร์เหมือนกัน แต่อยู่ใต้หลังคา ฟังเสียงดนตรีเพราะๆ จากวงดนตรีหนุ่มหล่อ พร้อมนักร้องสาวสวยเสียงคุณภาพ ที่เริ่มบรรเลงกันตั้งแต่หัวค่ำ จากโฟลค์ซองก่อน เป็นการวอร์มเจ้าค่ะ</span><span style="font-size: 10pt; font-family: Tahoma;"></span></p><p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: justify;"><span style="font-size: 10pt; font-family: Tahoma;"><span style=""> </span><span lang="TH">วันนี้มีหลายเมนูที่ทางร้านจัดมาให้ ป้าเชอรี่และทีมงานได้สัมผัสรสชาติกัน โดยมี <b>คุณสง่า กันธิวา</b> เชฟฝีมือดี <table style="width: 150px;" align="right" border="0" cellpadding="1" cellspacing="1"><tbody><tr><td><img border="0" height="200" hspace="0" src="http://www.lannathai-news.com/images/stories/102_12/cherry%201.jpg" width="150" /></td></tr></tbody></table>ชาวเชียงใหม่ <span style=""> </span>ที่ผ่านประสบการณ์กระทะเหล็กมากว่า 32 ปี โห...อย่างนี้การันตีได้เจ้าค่ะ <b>เพราะเรียกได้ว่าแก่<table style="width: 150px;" align="left" border="0" cellpadding="1" cellspacing="1"><tbody><tr><td><img border="0" height="200" hspace="0" src="http://www.lannathai-news.com/images/stories/102_12/cherry%207.jpg" width="150" /></td></tr></tbody></table>ประสบการณ์พอสมควร</b><span style=""> </span>ปรุงทั้งอาหาร จีน ไทย ยุโรป และอาหารพื้นเมือง ซึ่งเชฟได้มาให้รายละเอียดเกี่ยวกับเมนูในวันนี้กันค่ะ มาเริ่มต้นกันด้วย <b>เนื้อจระเข้ผัดเผ็ด </b>ฟัง ชื่อแล้วน่ากลัวเจ้าค่ะ เป็นเนื้อจระเข้ที่เขาซื้อเป็นแพ็คสำเร็จมาแล้วจากห้างฯ นำมาปรุงผัดกับเครื่องแกง มะเขือ กระชายหั่นฝอย มะเขือพวง เม็ดพริกไทยสด โดยหน้าด้วยใบโหระพาทอดกรอบ จานนี้ก็แปลกตรงที่เป็นเนื้อจระเข้นี่แหละค่ะ แต่รสชาติก็ได้แบบผัดพริกแกงทั่วไป เนื้อจระเข้นุ่มดี ไม่เหนียว ก็น่าทานนะคะ ครั้งหนึ่งในชีวิตคุยได้ว่า ฉันทานมาแล้วเจ้าจระเข้เนี่ย<span style=""> </span><b>ห่อหมกทะเลมะพร้าวอ่อน <span style=""> </span></b>ทั้ง ปู กุ้ง ปลาหมึก หอยแมลงภู่ ลูกชิ้นปลา เป็นส่วนประกอบสำคัญของห่อหมกที่อยู่ในลูกมะพร้าวอ่อน หอมหวาน น่าทาน อร่อยค่ะ ทานกับข้าวสวยร้อนๆ นี่ อย่าบอกใครเชียว <b>กึ๋นห่านผัดขิง </b>คล้าย กับไก่ผัดขิงที่เราทานกันบ่อยๆ เขาใช้กึ๋นของไก่มาปรุงเจ้าค่ะ แต่ตั้งชื่อเป็นห่านก็ออกอาการงงเล็กน้อย อร่อยค่ะทานแล้วกรุบกรับดี <b>ปลาทับทิมทอดตระไคร้</b> <span style=""> </span>เขา จะแล่เนื้อออกจากตัวปลาแล้วหั่นเป็นชิ้นๆ พอคำ คลุกกับงาขาว เพื่อเพิ่มกลิ่นหอม ค่อยนำไปทอดจนเหลืองกรอบน่าทาน แต่งหน้าด้วยตระไคร้ฝอย เวลาทานจิ้มกับน้ำจิ้มสามรส ต้องทานหลายๆท่านนะคะ เพราะปลาตัวเขื่อพอสมควร <b>จ้าวสมุทร</b> จานนี้ก็หน้าตาดีค่ะ เป็นมันกุ้งห่อด้วยปลาหมึกแล้วนำไปนึ่ง ตีน้ำแดงราด นอกจากนี้ยังมีอีกหลายอย่างที่นำมาให้ชิม ทั้ง <b>นกกระทาทอดสมุนไพร คางปลากะพงต้มยำหม้อไฟ ยำแมงกระพรุนกุ้งสด ตำลึงทอง</b> ฯลฯ แต่ละจานก็อร่อยไปคนละแบบ </span></span></p><p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: justify;"><span style="font-size: 10pt; font-family: Tahoma;" lang="TH"><table style="width: 200px;" align="left" border="0" cellpadding="1" cellspacing="1"><tbody><tr><td><img border="0" height="150" hspace="0" src="http://www.lannathai-news.com/images/stories/102_12/cherry%203.jpg" width="200" /></td></tr></tbody></table>มานั่งอ่านในเมนูร้านนี้ ยังมี <b>สเต็ก ทั้งหมู ไก่ เนื้อ ปลา สลัด พาสต้า และสปาเก็ตตี้ ไส้กรอกลูกวัว ไส้กรอกเวียนนา หรือจะเป็นไส้กรอกรวม</b> ก็มีค่ะ ส่วน </span><span style="font-size: 10pt; font-family: Tahoma;">Main Course <span lang="TH">ก็จะมี <b>ไก่ราดซอสเห็ด ไก่ราดซอสไวน์แดง กุ้งแม่น้ำอบชีส เนื้อปลากะพงราดราดซอสเนย</b> เป็นต้น นอกจากนี้ก็ยังมี<b>เมนูประเภท ยำ ทอด ต้ม นึ่ง อาหารพื้นเมืองมากมาย รวมถึงอาหารจานด่วน</b> อีกหลากกว่า 200 รายการ เชฟสง่า บอกว่า มีการคิดค้นเมนูใหม่ๆ มานำเสนอตลอด เดือนละกว่า 10-20 เมนูค่ะ ก็น่าสนใจในการพัฒนาอาหารแปลกใหม่มาให้ลูกค้าทานกัน </span></span></p><p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: justify;"><span style="font-size: 10pt; font-family: Tahoma;" lang="TH"><span style=""> </span>น่าไปนั่งนะคะที่ </span><placename st="on"><span style="font-size: 10pt; font-family: Tahoma;">See</span></placename><span style="font-size: 10pt; font-family: Tahoma;"> <placetype st="on">River</placetype> <span lang="TH">แห่งนี้ราคาก็ไม่ได้แพงด้วย อาหารก็หน้าตาดี เพราะนอกจากสีสันของอาหารแต่ละเมนูแล้ว <b>การตกแต่งจานของที่นี่ไม่รองใคร ช่วยเสริมให้น่าทานยิ่งขึ้นเจ้าค่ะ</b> และหน้าหนาวนี้ด้านหน้าร้านเขาก็จัด <b>บุฟเฟ่ต์เบียร์ช้างดราฟท์ ท่านละ 129 บาทเท่านั้น</b> ตั้งแต่<b>19.00-21.00 น.</b>หลังสามทุ่มเหยือกละ 99 บาทเจ้าค่ะ<span style=""> </span>วันนี้จะหาร้านอาหารที่บรรยากาศดี อาหารอร่อย ดนตรีเพราะ เชิญกันที่ร้าน </span><place st="on"><placename st="on"><b>See</b></placename><b> <placetype st="on">River</placetype></b></place><span lang="TH"> รับรองไม่ผิดหวัง จะโทรสอบถามหรือสำรองโต๊ะกันได้ที่ <b>โทร.053-904358</b> ปักษ์หน้าจะพาไปชิมที่ไหนต้องคอยติดตามกันค่ะ</span></span></p><p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: justify;"><br /><span style="font-size: 10pt; font-family: Tahoma;"><span lang="TH"></span></span></p><p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: justify;"><span style="font-size: 10pt; font-family: Tahoma;"><span lang="TH">ข้อมูลจาก ล้านนาไทยนิวส์<br /></span></span></p><br /><br />travel and food,Thailand

SEE RIVER บรรยากาศโรแมนติค อิ่มอร่อยริมน้ำปิง

ช่วงนี้ต้องบอกว่าอากาศที่เชียงใหม่ หนาว......ววววววว มาก เจ้า ค่ะ โดยเฉพาะเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาในช่วงวันหยุดยาวติดต่อกันหลายวัน มีผู้คนแ...

Read more »

แอ่ววัดโลกโมฬี (เชียงใหม่)

<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="http://www.chiangmainews.co.th/images/img/3340-2.jpg"><img alt="" border="0" src="http://www.chiangmainews.co.th/images/img/3340-2.jpg" style="margin: 0pt 10px 10px 0pt; float: left; cursor: pointer; width: 350px; height: 233px;" /></a><br /><span style="color:red;"><b>วัดโบราณนอกกำแพงเมืองเชียงใหม่<br /><br /></b></span> วัดโลกโมฬีสร้างขึ้นในสมัยใดไม่มีหลักฐานปรากฏแน่ชัด แต่ปรากฏชื่อเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ.1910 สมัยพระเจ้ากือนาธรรมมิกราช กษัตริย์ล้านนาองค์ที่ 6 แห่งราชวงศ์มังราย ทรงโปรดอาราธนาให้คณะของพระอุทุมพรบุปผมหาสวามีเจ้า เมืองเมาะตะมะ จำนวน 10 รูป มาสืบทอดพระพุทธศาสนาในดินแดนล้านนา ซึ่งคณะสงฆ์เหล่านั้นได้จำพรรษาที่วัดโลกโมฬี อันเป็นสถานที่ใช้ในการต้อนรับพระราชอาคันตุกะจากต่างเมือง<br /> <br /> หากจะกล่าวถึงความสำคัญของวัดโลกโมฬีตั้งแต่อดีตที่ผ่านมา พบว่าเป็นวัดเก่าแก่วัดหนึ่งในเมืองเชียงใหม่สร้างขึ้นในสมัยใดไม่มีหลักฐาน ปรากฏแน่ชัด แต่ปรากฏชื่อเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ.1910 สมัยพระเจ้ากือนาธรรมมิกราช กษัตริย์ล้านนาองค์ที่ 6 แห่งราชวงศ์มังราย ทรงโปรดอาราธนาให้คณะของพระอุทุมพรบุปผมหาสวามีเจ้า เมืองเมาะตะมะ จำนวน 10 รูป มาสืบทอดพระพุทธศาสนาในดินแดนล้านนา ซึ่งคณะสงฆ์เหล่านั้นได้จำพรรษาที่วัดโลกโมฬี อันเป็นสถานที่ใช้ในการต้อนรับพระราชอาคันตุกะจากต่างเมือง<br /> <br /> กระทั่งต่อมาในปี พ.ศ.2070 พระเมืองแก้วได้โปรดให้สร้างพระมหาเจดีย์และพระวิหารหลวง ในปี พ.ศ.2088 ได้มีการบรรจุพระอัฐิของพระเมืองเกษแก้วทางด้านกำแพงทิศเหนือของพระอาราม ซึ่งเป็นพระอารามหลวงประจำพระองค์ จากนั้นเสนาอามาตย์จึงได้ทูลเชิญพระนางจิรประภามหาเทวีขึ้นครองราชในปี พ.ศ.2088 - 2089 อันเป็นช่วงเวลาที่เหล่าขุนนางเรืองอำนาจทำให้เมืองเชียงใหม่อ่อนแอ เป็นเหตุให้สมเด็จพระไชยราชาธิราช กษัตรย์อยุธยายกทับมาตีเมืองเชียงใหม่ แต่ด้วยพระปรีชาสามารถของพระนางจิรประภามหาเทวี จึงทรงรักษาเอกราชไว้ได้พร้อมกับทูลเชิญพระไชยราชาธิราชเสด็จมาทำบุญที่วัด โลกโมฬี และยังพระราชทานทรัพย์สร้างกู่พระเมืองเกษเกล้าให้สมพระราชเกียรติ<br /> <br /> ในรัชสมัยของพระนางวิสุทธิราชเทวี กษัตรย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์มังราย ได้ทรงทำนุบำรุงในพระศาสนา อีกทั้งทรงเลื่อมใสในสมเด็จพระสังฆราชโลกโมฬีเจ้า จวบจนพระนางเสด็จทิวงคต ในปี พ.ศ.2121 ได้มีการถวายพระเพลิงพระนางวิสุทธิราชเทวีและบรรจุพระอัฐิไว้ภายในบริเวณพระ อารามหลวงโลกโมฬี<br /> <br /> <a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="http://www.lannatalkkhongdee.com/Admin/Filemanament/AllFile/UserFile/mem0000003/picture/lok17.jpg"><img alt="" border="0" src="http://www.lannatalkkhongdee.com/Admin/Filemanament/AllFile/UserFile/mem0000003/picture/lok17.jpg" style="margin: 0pt 0pt 10px 10px; float: right; cursor: pointer; width: 266px; height: 400px;" /></a>หลังจากนั้นมาเมืองเชียงใหม่จึงตกเป็นเมืองขึ้นของพม่าอยู่นานกว่า 200 ปี วัดวาอารามต่าง ๆ ถูกเผาทำลาย แต่วัดโลกโมฬีไม่ได้ถูกเผาทำลายเนื่องจากเป็นวัดสำคัญในราชสำนักมาโดยตลอด เป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราชโลกโมฬีเจ้า แม้ในสมัยของพระเจ้าสุทโธธรรมราชา พ.ศ.2182 ได้ทรงมีพระราชศรัทธาถวายทานอันยิ่งใหญ่ในเดือนยี่เป็งของทุกปีกับสมเด็จพระ สังฆราชโลกโมฬีเจ้าซึ่งถือเป็นประเพณีปฏิบัติที่สำคัญในช่วงเวลานั้น<br /> <br /> กระทั่งสงครามโลกครั้งที่ 2 วัดโลกโมฬีถูกทิ้งให้ร้าง จนถึงปี พ.ศ.2502 กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนวัดโลกโมฬีเป็นโบราณสถานของชาติปี พ.ศ.2544 คณะสงฆ์จังหวัดเชียงใหม่มีมตีให้พระญาณสมโพธิ เจ้าอาวาสวัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหารเป็นประธานในการก่อสร้างและฟื้นฟูวัด โลกโมฬีให้เป็นวัดที่มีพระสงฆ์จำพรรษา โดยมีพระ ดร.ดวงคำ อภิวัฑฺฒโน เป็นหัวหน้าสงฆ์ทำหน้าที่ดูแลรักษาตลอดมาและมีการเททองหล่อพระพุทธสันติ จิรบรมโลกนาถพร้อมทั้งวางศิลาฤกษ์พระวิหาร<br /> <br /> กระทั่งเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2544 กรมการศาสนาได้อนุมัติให้ยกฐานะวัดโลกโมฬีจากวัดร้างให้เป็นพระอารามที่ถูก ต้องตามกฏหมายและได้แต่งตั้งให้พระญาณสมโพธิเป็นผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาส ปี พ.ศ.2545 ได้มีการเททองหล่อรูปเหมือนพระนางจิรประภามหาเทวี และได้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่เศียรพระประธานในวิหารวัดโลกโมฬี<br /> <br /> สำหรับผู้สนใจเรื่องราวในประวัติศาสตร์ของเมืองเชียงใหม่และต้องการเข้าไป สัมผัสกลิ่นอายแห่งพุทธศาสนาที่วัดโลกโมฬี ตั้งอยู่นอกกำแพงเมืองเชียงใหม่ทิศเหนือ ถนนมณีนพรัตน์ ใกล้กับแจ่งหัวริน<br /><br /><br /><a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="http://www.thaimtb.com/webboard/174/87360-103.jpg"><img alt="" border="0" src="http://www.thaimtb.com/webboard/174/87360-103.jpg" style="cursor: pointer; width: 420px; height: 320px;" /></a><br /> จักรพงษ์ คำบุญเรือง<br /> jakrapong@chiangmainews.co.th.<br /> 15/12/51<br /><br /><br />travel and food,Thailand

แอ่ววัดโลกโมฬี (เชียงใหม่)

วัดโบราณนอกกำแพงเมืองเชียงใหม่ วัดโลกโมฬีสร้างขึ้นในสมัยใดไม่มีหลักฐานปรากฏแน่ชัด แต่ปรากฏชื่อเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ.1910 สมัยพระเจ้ากือนาธร...

Read more »

อวยพรปีใหม่...

ก้าวเข้าสู่ปี 2552 แล้ว<br /><br />ในโอกาสนี้ทางทีมงาน memory and food ก็ขอให้ทุก ๆท่านมีความสุขมาก ๆ<br /><br />คิดสิ่งไหนก็ขอให้สมปรารถนาทุกประการ ร่ำรวยเงินทอง ทำมาค้าขึ้น<br /><br />และก็อย่าลืมติดตามบล็อคของเราด้วยนะคะ ..<br /><br />รับรองว่าเราจะสรรหาข้อมูลแหล่งท่องเที่ยว และร้านอาหารอร่อย ๆ มาให้ได้รับชมกันค่ะ<br /><br /><br />travel and food,Thailand

อวยพรปีใหม่...

ก้าวเข้าสู่ปี 2552 แล้ว ในโอกาสนี้ทางทีมงาน memory and food ก็ขอให้ทุก ๆท่านมีความสุขมาก ๆ คิดสิ่งไหนก็ขอให้สมปรารถนาทุกประการ ร่ำรวยเงินทอง...

Read more »